‘เซ็นทรัล รีเทล’ เปิดแผนปี 2566 เตรียมอัดงบลงทุน 2.8 หมื่นล้านบาท พัฒนาเทคโนโลยี ขยายสาขาเพิ่มทั้งในไทย-เวียดนาม ตั้งเป้าสร้างรายได้รวม 2.7 แสนล้านบาท เติบโตมากกว่า 15% จากปี 2565
‘ญนน์ โภคทรัพย์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ CRC กล่าวว่า ปี 2565ที่ผ่านมาเป็นปีที่โดดเด่นของเซ็นทรัล รีเทล ด้วยเหตุผล 3 ข้อด้วยกัน คือ
1.เป็นปีที่บริษัทก้าวข้ามจากการเป็นค้าปลีกสู่ออมนิแชนแนลได้สำเร็จ
2.ผลประกอบการผ่านพ้นวิกฤตโควิดได้สำเร็จ
3.ไม่เคยหยุดนิ่ง ยังคงก้าวไปในสิ่งต่อไป
[ เจาะความสำเร็จปี 2565 ]
คุณญนน์ บอกว่า ปีที่ผ่านมา CRC สร้างความสำเร็จในการขยายพอร์ตธุรกิจให้เติบโตทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่
-ฟู้ด ที่ขยายแบรนด์ Tops และขยายสาขาไปตั้งเป็นสแตนด์อะโลนมากขึ้น
-แฟชั่น ที่กลายเป็นผู้นำ มีดีพาร์ตเมนต์สโตร์ 84 แห่ง มีแบรนด์สินค้าและร้านไลฟ์สไตล์ในไทยและเวียดนามกว่า 482
-ฮาร์ดไลน์ พร็อพเพอร์ตี้ ไทวัสดุอายุครบ 12 ปีในปีนี้ ตอนนี้เป็นเบอร์สองวัสดุก่อสร้าง มีอยู่ 70 สาขา ใน 42 จังหวัดทั่วไทย
-เฮลธ์แอนด์เวลเนส ขยายไปสู่ธุรกิจเพื่อสุขภาพ ไปจนถึงธุรกิจเพื่อสัตว์เลี้ยง
ขณะที่ในเวียดนาม ตอนนี้ CRC นับได้ว่าเป็นเบอร์ 1 แบรนด์อินเตอร์เนชั่นแนลในเวียดนาม มีสาขาครอบคลุม 41 จังหวัดของประเทศ
โดยแบรนด์ GO! ก็ขึ้นแท่นไฮเปอร์มาร์เก็ตเบอร์ 1 ของเวียดนาม ส่วนเซ็กเมนต์ระดับมอลล์ยังเป็นเบอร์ 2 แต่ยังมีโอกาสจะโตอีกมาก
ในภาพรวม ปี 2565 สร้างรายได้รวมเติบโตมากกว่า 20% ถือเป็นผลประกอบการที่เกินเป้าที่ตั้งไว้ ที่น่าสนใจคือในปีนี้ยอดขายผ่านออมนิแชนเนลเติบโตขึ้นมามีสัดส่วนถึง 18% และลูกค้าที่ซื้อของผ่านช่องทางนี้จ่ายเพิ่มขึ้น 4 เท่า
[ เศรษฐกิจโลกหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่ CRC อยู่ในตำแหน่งที่มีโอกาส ]
คุณญนน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้ยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ โดยรวมน่าจะเติบโตที่ 2.9% แต่เศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่งกว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลก
โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยโตประมาณ 3.2% แต่เครื่องยนต์หลักเปลี่ยนจากส่งออกมาเป็นค้าปลีก บริการ และการท่องเที่ยว เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมา และกลุ่มที่มาส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง ที่กำลังซื้อสูงกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 3-5 เท่า
ขณะที่เวียดนามเศรษฐกิจน่าจะโตแกร่งที่ 6.2% สูงที่สุดในอาเซียน ส่วนในอิตาลีที่ CRC ไปทำธุรกิจ ก็กำลังจะมีนักท่องเที่ยวกลับมา มีเม็ดเงินใช้จ่ายจากกลุ่มกำลังซื้อสูง
มองในภาพรวม เซ็นทรัล รีเทล เรียกได้ว่าอยู่ในตำแหน่งที่มีโอกาสสร้างการเติบโตได้เป็นอย่างดีในปี 2566 นี้
[ ทุ่มลงทุน 2.8 หมื่นล้าน ]
คุณญนน์ กล่าวอีกว่า ส่วนในปี 2566 เซ็นทรัล รีเทล อัดงบลงทุน 28,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเต็มกำลังบนยุทธศาสตร์ CRC Retailligence โดยมุ่งเน้นที่จะสร้างเซ็นทรัล รีเทล ให้เป็นเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย
พร้อมสร้างการเติบโตในประเทศเวียดนามอย่างก้าวกระโดด ด้วยการขยายโมเดลธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้า GO! ที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2593 ตามเจตนารมณ์การเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนรายแรกในประเทศไทย
โดยเป้าหมายทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้จริงจากการดำเนินการผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย
1.Accelerate Core Leadership – เร่งสร้างการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลักในทั้ง 3 ประเทศ
กลุ่มแฟชั่น : ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายห้างสรรพสินค้าลักชัวรีในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล ต่อยอดธุรกิจกลุ่มแฟชั่นให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งสินค้าใหม่ แบรนด์ใหม่ และเชื่อมต่อแพลตฟอร์มของห้างลักชัวรีทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งจากทุกห้างของกลุ่มได้ทุกที่ทุกเวลา
พร้อมทั้งเดินหน้าขยาย และรีโนเวตสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจะเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อีก 2 สาขา ในปีนี้
กลุ่มฮาร์ดไลน์ : เร่งเครื่องขยายสาขาใหม่ของไทวัสดุ และไทวัสดุ ไฮบริด ฟอร์แมท รวมอีก 10 สาขาในปีนี้
กลุ่มฟู้ด : สร้างการเติบโตในเวียดนามอย่างก้าวกระโดด รวมถึงผลักดันแบรนด์ Tops ขึ้นเป็น Food Discovery & Destination และ เบอร์ 1 Food Omni Retailer ด้วยการขยายสาขา Tops รวมอีก 15 สาขาในปีนี้
กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ : ขึ้นแท่นผู้นำศูนย์การค้า Lifestyle and Experiential Community Platform ของประเทศไทย ด้วยการขยายและรีโนเวทศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาในปีนี้
นอกจากนี้ในเวียดนามก็มีการก่อสร้างศูนย์การค้า GO! สาขาใหม่ๆ เพื่อเตรียมเปิดอีก 6-8 สาขา ในปี 2567
สร้างฐานการเงินที่แข็งแกร่ง บนกลยุทธ์ 3C คือ Cost บริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ Cash Flow ขยายขีดความสามารถในการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้มีความรวดเร็ว คล่องตัว และเพิ่มกระแสเงินสดให้มากขึ้น สำหรับสร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อไป
2.Reinvent Next-Gen Omni Retail – ยกระดับ CRC Ecosystem ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีและระบบต่างๆ มาสร้างการเติบโตแบบ Inclusive Growth ให้ทั้งลูกค้า แบรนด์ และพาร์ทเนอร์ บนแพลตฟอร์ม Next-Gen Omni Retail เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าในทุกมิติให้แก่ผู้บริโภค โดยทุ่มงบในด้านเทคโนโลยีหลายพันล้านบาท
3.Build New Growth Pillars – ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนเปิดตัวธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อเสริมทัพธุรกิจในประเทศไทยและเวียดนาม
4.Drive Partnership, Acquisition and Spin Off – ขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรและการทำ M&A
พร้อมนำ MEB เบอร์ 1 แพลตฟอร์ม E-Book เข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เสนอขายหุ้น IPO แก่ประชาชนทั่วไป ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นี้
“ทั้ง 4 กลยุทธ์ดังกล่าว จะทำให้เซ็นทรัล รีเทล เติบโตสู่ The Next Sustainable Growth และคาดว่าจะสร้างรายได้รวมในปี 2566 ราว 270,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
“โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ตอกย้ำการเป็น Green & Sustainable Retail ผ่าน 4 กลยุทธ์ ‘ReNEW’ โดยตั้งเป้าระยะสั้นในปี 2566 ที่จะนำพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ให้ได้ 30%, ลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ 10% และลดการใช้น้ำ 10%
เพิ่มการจำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสัดส่วน 20% ของสินค้าทั้งหมด และเพิ่มพื้นที่สีเขียวจากการปลูกป่าอีก 5,000 ไร่ เพื่อช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก
“โดยเซ็นทรัล รีเทล พร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้ เพื่อส่งมอบโลกที่น่าอยู่ให้กับคนเจนเนอเรชั่นต่อๆ ไป” คุณญนน์ กล่าวสรุป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง: