SHARE

คัดลอกแล้ว

จากคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมถึงหาเสื้อผ้าออกกำลังกายของผู้หญิงที่สวยถูกใจตัวเองไม่ได้ สู่ที่มาของการก่อตั้ง Wakingbee ที่มีพันธสัญญาต่อตัวเองและลูกค้าว่า จะต้องเป็นแบรนด์ไทยที่คุณภาพทัดเทียมโกลบอลแบรนด์ และจะต้องเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงลุกขึ้นมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีด้วยความมั่นใจในตัวเองได้อย่างเต็มที่

เส้นทางการเติบโตตลอด 9 ปีของ Wakingbee นั่นไม่ง่าย แต่ชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้น และยังคงรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองและลูกค้ามาได้อย่างมั่นคงตลอดมา

งานบริษัท ไม่ตอบโจทย์ความสุขในใจ 100%

คุณพิงค์-ชลิตา หงสกุล หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Wakingbee เล่าถึงเส้นทางในการเปลี่ยนสถานะ จากพนักงานบริษัท เป็นผู้ประกอบการเจ้าของธุรกิจว่า ก่อนหน้านี้เธอก็เป็นพนักงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แม้ว่าทั้่งหน้าที่การงานที่เธอได้รับมอบหมายเธอก็มีความท้าทายที่น่าสนใจ เพื่อนร่วมงาน เจ้านายก็แสนดี โดยรวมชีวิตในการทำงานของเธอก็ไม่ได้มีปัญหาที่บีบคั้นให้เธอต้องเปลี่ยนงาน แต่เธอกลับเกิดข้อสงสัยในตัวเองว่า ต่อให้เธอทำงานออกมาได้ดีแล้ว แต่เธอไม่ได้รับความรู้สึกถึงการเติมเต็มในหัวใจ รู้สึกเหมือนยังขาดอะไรไป จนกระทั่งเธอได้ไปเจอคำถามในหนังสือเล่มหนึ่งว่า ‘รู้สึกภูมิใจอะไรในตัวเองที่สุด’ แล้วเธอรู้สึกว่าคำตอบของเธอในใจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ในตอนนี้เลย

หลังจากนั้น เธอจึงพยายามทำความเข้าใจกับตัวเองให้มากขึ้นว่า แล้วเธอต้องการทำอะไร สิ่งใดที่จะทำให้เธอรู้สึกภาคภูมิใจ และช่วยเติมเต็มหัวใจของเธอได้ จนเริ่มสังเกตว่าเมื่อได้ยินเรื่องราวของคนรอบตัวที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ว่าจะธุรกิจเล็กหรือใหญ่ ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน แต่การได้เรียนรู้เส้นทางชีวิตของธุรกิจเหล่านั้นช่วยปลุกไฟในใจของเธออยู่ลึกๆ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะกระโดดเข้าใส่การเป็นผู้ประกอบการในทันที เธอใช้เวลาในการสำรวจความรู้สึกและความสนใจของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน รวมถึงศึกษาลู่ทางและโอกาสทางธุรกิจที่เธอคิดว่าเหมาะสมกับเธอจริงๆ ในระหว่างนี้ไปด้วย

เจอโอกาสทางธุรกิจ จากการลงงานวิ่ง 5 กิโลเมตร

วันหนึ่งเพื่อนของเธอได้ชวนเธอวิ่งออกกำลังกาย เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า และรักษาสุขภาพหลังจากทำงานกันมาอย่างหนักหน่วง โดยเป็นการวิ่งระยะ 5 กิโลเมตร และเป็นการวิ่งในตอนกลางคืน ไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้า เธอจึงตอบตกลง และเตรียมตัวซ้อมก่อนลงสนามวิ่งจริง ในช่วงที่กำลังหาชุดเพื่อเริ่มวิ่ง เธอจึงพบว่าเธอไม่สามารถหาชุดออกกำลังกายที่มีดีไซน์ที่ถูกใจเธอได้เลย มีแต่สีเรียบๆหรือฉูดฉาดไปเลย หรือดีไซน์ที่ออกแนวนักกีฬามากเกินไป เธอจึงคิดว่ามันจะดีกว่าไหมถ้าเรามีชุดออกกำลังกายสวยๆ ที่ใส่แล้วทำให้เรามั่นใจ และทำให้เราอยากลุกขึ้นมาออกกำลังกาย และทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสนุก เป็นเรื่องที่ทำทุกวันจนกลายเป็นไลฟ์สไตล์ประจำวันได้

นั่นจึงเป็นที่มาของ Wakingbee แบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกาย ที่เธอหวังปั้นให้เป็นแบรนด์ที่นำเสนอเสื้อผ้าที่ให้สาวๆ อยากลุกขึ้นมาออกกำลังกาย พร้อมชุดสวยที่ใส่แล้วทำให้พวกเธอมั่นใจในรูปร่างของตัวเองมากขึ้น เหมือนกับความหมายของชื่อแบรนด์ที่เป็นการปลุกให้สาวๆ เป็นเหล่าผึ้งผู้ขยันขันแข็งลุกขึ้นมาออกกำลังกายกันอย่างสดใสร่าเริงในทุกๆ วัน

เริ่มต้นจากศูนย์ ไม่มีคอนเน็กชั่น แต่มั่นใจว่าไปได้

คุณชลิตา เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ Wakingbee ว่า ช่วงเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าก่อนตัดสินใจจะลาออกจากการเป็นพนักงานประจำเพื่อลุยงานธุรกิจเต็มตัว จะเคยศึกษาหาข้อมูลของแหล่งผลิตเสื้อผ้าออกกำลังกายในไทย รวมถึงความเป็นไปได้อื่นๆ เอาไว้แล้วก็ตาม 

“เราไม่ได้มีคอนเนกชั่นอะไรในด้านนี้มาก่อนเลย เราเริ่มจากศูนย์จริงๆ ขั้นตอนแรกเลยค่อนข้างยาก เรามองว่าแบรนด์ชุดออกกำลังกายระดับโลกก็ผลิตในเมืองไทย แต่ทำไมเมืองไทยไม่มีแบรนด์ที่เป็นผู้นำในส่วนของเสื้อผ้าออกกำลังกายสำหรับผู้หญิงเลย เลยคิดว่ายังไงก็ต้องหาโรงงานผลิตในไทยได้แน่นอน”

“แต่การเข้าไปคุยมันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะทำให้เขาเปิดใจยอมรับกับเราที่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นแบรนด์ขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ ต้องอาศัยคุยหลายๆ ที่ จนกระทั่งได้เจอที่ที่ให้เราได้ทดลองทำงานร่วมกัน”

คุณพิงค์-ชลิตา หงสกุล หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Wakingbee คุณพิงค์-ชลิตา หงสกุล หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Wakingbee

ทำธุรกิจกับเพื่อนยังไงให้ไม่เสียเพื่อน

เมื่อสอบถามถึงเรื่องการดำเนินธุรกิจกับเพื่อน แทนที่จะทำเองคนเดียว คุณชลิตายิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบว่าเป็นคำถามที่น่าคิด เธอเริ่มธุรกิจกับเพื่อนอีก 2 คน และเมื่อทำธุรกิจไปได้ 5 ปี ก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งเข้ามาร่วมทีมด้วย โดยเธอยอมรับว่าการมีเพื่อนมาร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันในเส้นทางธุรกิจแรกของเธอ เป็นเรื่องของที่พึ่งทางใจได้ดีกว่าที่คิด

“เรื่องการเป็นเจ้าของธุรกิจ อาจไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดว่าเราเหมาะกับมันหรือเปล่า บางคนอาจจะประสบความสำเร็จ และทำอะไรได้มากมายในสายงานอื่นที่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ประกอบการ เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจได้ แต่ละสายงานมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน เราก็ต้องดูว่าเราพร้อมที่จะลุยไปในทางนั้นหรือเปล่า”

“สำหรับเรา เรามองว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทาย แต่เราเป็นคนขี้กลัว ถ้าเราทำคนเดียวจะรู้สึกว่าวันไหนที่เราเศร้าหรือกดดัน เราจะไม่มีคนช่วยให้กำลังใจเลย ซึ่งเวลาทำธุรกิจมันจะมีช่วงเวลาเครียดๆ เหล่านั้นอยู่แล้ว เราเลยมองว่าการมีพาร์ทเนอร์ที่ดี ที่เขาร่วมหัวจมท้ายไปกับเรา มันจะช่วยสนับสนุนประคับประคองธุรกิจกันต่อไปได้ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในวันที่เรารู้สึกเฟล เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้น และกลับกัน ในวันที่เขารู้สึกกังวลใจ เราอาจจะไม่ ก็เหมือนเป็นที่พึ่งทางใจให้กันและกัน เลยรู้สึกว่าการมีเพื่อนมันช่วยเหลือเกื้อกูลกันทั้งในแง่การลงมือทำงานและทางใจ”

แต่เมื่อถามถึงเรื่องที่คนอื่นๆ บอกกันว่า ทำธุรกิจกับเพื่อน ไม่กลัวเสียเพื่อนเหรอ คุณชลิตายิ้มแล้วตอบว่า “ก็ไม่ใช่เพื่อนทุกคนที่เราจะสามารถทำธุรกิจด้วยได้ ถ้าเป็นเพื่อนที่เรามองว่าเราสามารถสื่อสารกันได้ดี สามารถคุยกันแบบตรงไปตรงมาได้ นั่นคือเพื่อนที่เราทำธุรกิจด้วยได้ เพราะในการทำธุรกิจมันมีหลายอย่างที่เราอาจไม่ได้มีความเห็นตรงกันไปเสียหมดทุกครั้ง แต่เราต้องสามารถคุยกันอย่างตรงไปตรงมาโดยที่ไม่ทะเลาะกันเกินขอบเขตของงานได้ เหมือนเถียงกันหน้างาน พอจบคือจบ แล้วหลังจากนั้นก็กลับมาคุยเล่นกันต่อได้ ถ้ามีเพื่อนที่เป็นแบบนี้ นี่คือเพื่อนที่เราจะสามารถร่วมธุรกิจด้วยได้”

นอกจากนี้เรื่องของทัศนคติในการทำงานก็ต้องตรงกัน คุณชลิตาอธิบายว่า ถ้าเรากับเพื่อนมีความคิดเห็นตรงกัน หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า ‘ศีลเสมอกัน’ เช่น ธุรกิจของเราลูกค้าจะต้องมาก่อนเสมอ และจำต้องดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา นั่นก็จะทำให้เราดำเนินธุรกิจกับเพื่อนได้อย่างราบรื่น

ดันเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง เพื่อเอาชนะคู่แข่ง

ในสมัยก่อนเราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นชุดออกกำลังกายที่มีสีสันสดใสหรือการออกแบบเน้นแฟชั่นสำหรับสาวๆ มากนัก แต่ในปัจจุบันเริ่มเห็นผู้เล่นหลายรายที่พัฒนาการออกแบบของตัวเองให้มีความทันสมัยมากขึ้น สวยงามและมีสีสันให้เลือกหลากหลายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นความท้าทายของ Wakingbee จะต้องมีมากกว่าเรื่องการออกแบบที่เคยเป็นจุดแข็งของแบรนด์มาตั้งแต่เริ่มแรก

“เมื่อเป็นเรื่องของดีไซน์ แต่ละแบรนด์จะมีดีเอ็นเอของตัวเอง แต่ละแบรนด์จะสื่อสารกับลูกค้าผ่านการดีไซน์ที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าของพวกเขา และสอดคล้องไปกับจุดยืนของแบรนด์แต่ละแบรนด์”

“สำหรับของเรา เราตั้งเป้าเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นแบรนด์ที่ทำชุดออกกำลังกายสำหรับผู้หญิงที่ใส่แล้วต้องรู้สึกสวย มั่นใจ ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ทำแบรนด์มา เราใช้ความรู้ในเรื่องของสรีระผู้หญิงที่เรารู้ว่าเราจะต้องออกแบบสำหรับรูปร่างของผู้หญิงทุกไซส์ยังไงให้ออกมาดูสวย เราไม่ได้ทำออกมาแบบเดียวสำหรับทุกไซส์ เรามีการฟิตติ้งกับนางแบบทุกไซส์ แก้ไขปรับเปลี่ยนลงรายละเอียดต่างๆ ให้ผู้หญิงที่มีขนาดรูปร่างต่างกันใส่ออกมาแล้วสวย บางครั้งเราแก้ไขกันเช่น ลดเส้นตรงแขนตรงนั้น 5 มล. โรงงานก็แอบปวดหัวนะ (หัวเราะ) แต่เรารู้ว่าจุดนั้นมันสำคัญ ก็ต้องปรับแม้จะดูเล็กน้อย”

คุณชลิตาเล่าว่า กระบวนการดีไซน์ชุดในแต่ละชุดนั้นยุ่งยากและใช้เวลา ยิ่งทำออกมาหลายขนาด ก็ต้องมั่นใจว่าเวลาผู้หญิงใส่จริงๆ ความสวยงามที่ได้ต้องไม่ต่างกัน ผู้หญิงที่มีสรีระต่างกัน ก็จะมีจุดที่อยากโชว์ จุดที่อยากปกปิดต่างกัน เพราะฉะนั้นต่อให้มันต่างกันแต่ไม่กี่มิลลิเมตร เวลาสวมใส่จริงมันมีผลจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นขนาดสายบนไหล่ วงแขน คอเสื้อ ฯลฯ

“เราลงรายละเอียดขนาดนี้เพราะเราอยากให้ลูกค้าใส่แล้วรู้สึกว่าเขาสวย มั่นใจ และมันจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาอยากออกไปใช้ชีวิตที่แอคทีฟ ไปออกกำลังกาย มันเลยเป็นเหมือนคำสัญญาของเราที่มีต่อลูกค้าว่า ชุดของเราจะต้องช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้หญิงให้ได้มากที่สุด ให้เป็นคุณในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด”

คุณพิงค์-ชลิตา หงสกุล หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Wakingbee คุณพิงค์-ชลิตา หงสกุล หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Wakingbee

ปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น ตามฟีดแบ็กลูกค้า

แม้ว่าคุณชลิตาและเพื่อนจะไม่ได้จบด้านการออกแบบเสื้อผ้ามาโดยตรง แต่ความสนใจ ความชอบ ประสบการณ์ในการสวมใส่ด้วยตนเอง รวมกับทีมดีไซน์เนอร์มือฉมังของแบรนด์ ทำให้ได้ออกมาเป็นชุดของ Wakingbee ที่นอกจากจะตอบโจทย์เรื่องของความสวยงามจากใจของผู้ใช้เองจริงๆ ด้วยแล้ว ทางแบรนด์ยังยอมปรับเปลี่ยนดีไซน์ตามฟีดแบ็กของลูกค้าด้วย คุณชลิตายอมรับว่า ทางทีมใส่ใจกับฟีดแบ็กของลูกค้ามาก และพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา

“เราได้ฟีดแบ็กจากลูกค้าทั้งจากออนไลน์ที่โทรหรือคุยสอบถามเรื่องการออกแบบ เนื้อผ้าที่ใช้ เพราะเขาไม่ได้มาเห็นสินค้าด้วยตัวเอง พอซื้อไปใช้แล้วก็มาส่งฟีดแบ็กว่าชอบไม่ชอบตรงไหนยังไง รวมถึงลูกค้าที่หน้าร้านที่สามารถให้ฟีดแบ็กได้ทันทีกับพนักงานที่ร้าน เราก็จะให้พนักงานเก็บฟีดแบ็กไว้เป็นข้อมูล แล้วนำมาปรับปรุงสินค้าต่อให้ตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น”

“บางทีเราก็ทำ survey กับลูกค้า เรายกหูโทรศัพท์คุยเองเลย เลือกคนที่หลากหลายทั้งอายุ ความชอบ กิจกรรมที่ทำ เพื่อเอามาเป็นข้อมูลในการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้ดียิ่งขึ้น เรามีทีมดีไซน์เนอร์ที่มีฝีมืออยู่แล้ว เราก็ทำหน้าที่เป็นฝ่ายวิเคราะห์ เพราะเราก็เคยทำงานด้านนี้มา แม้ว่าเราจะไม่ได้เรียนจบด้านออกแบบเสื้อผ้ามา แต่เราก็มีความรู้ด้านวิเคราะห์ข้อมูล ที่เราเอามาต่อยอดให้เป็นประโยชน์กับทีมดีไซน์เนอร์ได้อีกทีหนึ่ง”

นั่นเป็นเหตุผลที่สินค้าของ Wakingbee มีการปรับเปลี่ยนให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้นอยู่เรื่อยๆ นอกจากเรื่องการออกแบบแล้ว ยังรวมถึงไซส์ของสินค้าที่ขยับเพิ่มไซส์ จากไซส์ L มาเพิ่มไซส์ XL ให้อีก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เรียกร้องไซส์ที่ใหญ่ขึ้น และอาจจะเพิ่มขนาดของสินค้าไปอีกเพื่อสาวพลัสไซส์ในอนาคต การดีไซน์ของสินค้าเพิ่มความหลากหลาย ทั้งคนที่ชอบสีสันสดใส สีอ่อนๆ พาสเทล และคนที่ชอบสีเรียบง่ายคลาสสิก การดีไซน์ที่ผสมผสานกับนวัตกรรมการออกแบบสินค้าไลน์ Swim & Sweat ที่ลูกค้าสามารถสวมใส่เพื่อทำกิจกรรมทั้งทางน้ำและบนบกได้ในตัวเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีไลน์สินค้าสำหรับผู้ชายวางจำหน่ายอีกด้วย

แต้ว ณฐพร จากลูกค้า มาเป็นผู้ถือหุ้น

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ดารานักแสดงที่ใช้สินค้าอะไรบางอย่างแล้วจะติดใจจริงๆ จนสนใจมาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจด้วย คุณชลิตาเล่าว่าเบื้องต้นคุณแต้วได้ลองใช้สินค้าของแบรนด์แล้วถูกใจมาก รวมถึงเขาเองก็เรียนจบด้านที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ (สถาปัตย์) ด้วย เขากลับมาคุยกับทางแบรนด์ว่าเขามีไอเดียต่างๆ และเขาสนใจอยากทำงานร่วมกัน ทางทีมเลยเห็นว่าน่าสนใจ เลยออกมาเป็นคอลเล็กชั่นที่ทำงานร่วมกันโดยมีคุณแต้วเป็นผู้ร่วมออกแบบ

“เรามองว่าคุณแต้วเองก็เป็นคนที่เริ่มต้นจากการเป็นผู้เริ่มออกกำลังกายใหม่ๆ จนค่อยๆ กลายเป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ จนการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของเขา ซึ่งมันตรงกับดีเอ็นเอของแบรนด์ที่อยากเห็นผู้หญิงสวมใส่เสื้อผ้าสวยๆ ที่ถูกใจแล้วลุกขึ้นมาใช้ชีวิตที่แอคทีฟ ออกกำลังกายเป็นประจำได้อย่างมีความสุข ด้วยความชอบอะไรที่เหมือนๆ กัน ไปในทิศทางเดียวกัน เราก็เลยได้ร่วมงานกันมายาวๆ จนในที่สุดก็ได้เขามาเป็นผู้ร่วมถือหุ้นของบริษัท” 

อุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างดำเนินธุรกิจ

ในช่วงโควิด-19 ธุรกิจเสื้อผ้าน่าจะโดนผลกระทบกันหมดเมื่อไม่ค่อยมีใครออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน จากช่วงที่คนมีกระแสไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส ไปเล่นโยคะ ไปวิ่ง เมื่อโควิดมาทุกอย่างก็หยุดชะงักหมด ผู้คนไม่ได้ใส่ใจกับการหาชุดใหม่ๆ สวยๆ ใส่ไปออกกำลังกายนอกบ้านกันเหมือนช่วงก่อนโควิด คุณชลิตาบอกว่าช่วงนั้นก็เป็นปัญหาเช่นกัน เธอจึงมองหาทางออกว่า จะทำยังไงให้คนยังลุกขึ้นมาออกกำลังกาย แม้จะเป็นการออกกำลังกายภายในบ้านก็ยังดี

ทางแบรนด์จึงมีการจัด session ออนไลน์สอนออกกำลังกาย ทั้งจากคุณแต้ว และจากเทรนเนอร์มืออาชีพ ให้ความรู้กับทุกคนว่าในช่วงโควิดเป็นช่วงที่ทุกคนต้องใส่ใจในการดูแลสุขภาพของตัวเอง เพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา สื่อสารกับลูกค้าอยู่ตลอดเวลาไม่ห่างหาย

นอกจากนี้ทางแบรนด์ก็ถือโอกาสมอบสินค้าให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพวกเขาที่ต้องออกไปทำงานเพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด และเพื่อเป็นสิ่งกระตุ้นให้พวกเขาหาเวลามาดูแลสุขภาพของตัวเองด้วย โดยหวังว่าสินค้าของแบรนด์จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คนหันมาดูแลตัวเอง

คุณพิงค์-ชลิตา หงสกุล หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Wakingbee

อนาคตของ Wakingbee ในอีก 5 ปีข้างหน้า

คุณชลิตาเชื่อมั่นว่า ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา Wakingbee รักษามาตรฐานสินค้าของตัวเองเอาไว้ได้ดีมาโดยตลอด เธอเลือกที่จะผลิตสินค้าเองในโรงงานที่ไทย ออกแบบและปรับเปลี่ยนคุณภาพของสินค้าอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะจ้างโรงงานผลิตจากต่างประเทศแล้วปั้มตราแบรนด์สินค้ามาขายง่ายๆ แต่นั่นจะทำให้เธอไม่สามารถผลิตสินค้าที่มีความหลากหลาย และปรับเปลี่ยนรายละเอียดในการผลิตตามความต้องการของเธอได้

แม้ว่าขนาดของธุรกิจจะไม่ได้ใหญ่เท่าแบรนด์ระดับโลก แต่เธอมั่นใจว่าถ้าดูที่คุณภาพของสินค้าในแต่ละชิ้น แบรนด์ไทยอย่าง Wakingbee สู้ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นการรักษามาตรฐานสินค้าให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของเธอที่พยายามรักษาสัญญาข้อนี้เอาไว้กับตัวเองตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งแบรนด์

แม้ว่าจะเป็นแบรนด์จากประเทศไทย Wakingbee ยังไม่ลืมความตั้งใจที่จะนำเสนอความเป็นแบรนด์ไทยให้ต่างชาติได้รับรู้ คุณชลิตาเล่าอย่างภูมิใจว่า ปัจจุบันมีลูกค้าชาวต่างชาติมากมายที่สนใจและเป็นลูกค้าประจำของแบรนด์ พวกเขาบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาซื้อสินค้าด้วยตัวเอง บางคนซื้อผ่านออนไลน์ หรือบางคนมาแวะชมสินค้าที่หน้าร้านในฐานะนักท่องเที่ยว แต่ก็กลับบ้านไปด้วยการเป็นลูกค้าของแบรนด์ โดยกลุ่มลูกค้าต่างชาติมีทั้งฝั่งเอเชียอย่าง จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง ไปจนถึงลูกค้าฝั่งยุโรปอย่าง รัสเซีย หรืออเมริกา

นอกจากการต่อยอดไลน์สินค้าให้มีความหลากหลาย และตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุดแล้ว Wakingbee ยังวางแผนที่จะเติบโตไปเรื่อยๆ อย่างมั่นคง และหมายมั่นปั้นมือว่าจะกลายเป็นแบรนด์ที่อยู่เป็นอันดับต้นๆ ในใจของลูกค้าเมื่อพูดถึงเสื้อผ้าออกกำลังกายที่คุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ ใส่แล้วสวย มั่นใจ ใส่แล้วอยากไปออกกำลังกาย ให้เป็นแบรนด์ที่คนไทยชื่นชอบ และค่อยๆ เติบโตเป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศ เทียบเคียงโกลบอลแบรนด์ได้อย่างเต็มภาคภูมิในอนาคต

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า