ตลอดปี 2567 จีนต้องเผชิญกับปัญหาภาวะอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ วิกฤตเงินทุนของรัฐบาลท้องถิ่น และตลาดแรงงานที่ซบเซา ที่ว่ามาเป็นส่วนที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจที่เปราะบางอยู่แล้วเพิ่มความน่าห่วงขึ้นไปอีกในปีนี้
ตอนนี้มีความเป็นห่วงว่า จีนกำลังเผชิญแรงกดดันด้านภาวะเงินฝืดที่อาจจะกินเวลายาวนาน
เพราะการลงทุนด้านการผลิตของจีนนั้นสูงกว่าการบริโภคในประเทศ พูดง่ายๆ คือผลิตมาล้นเกิน และก็จะส่งออกล้นเกินด้วยเช่นกัน
พออุปทานที่มีมากเกินไปภายในประเทศจีน ทำให้ผู้ส่งออกต้องลดราคาสินค้า แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรและทำให้เกิดข้อพิพาททางการค้ากับประเทศอื่นมากขึ้น
ยิ่งเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมา สัญญาณความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นจะเป็นเดิมพันการเติบโตของจีนด้วย
แม้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ประกาศว่าจีนบรรลุเป้าหมายการเติบโต แต่แนวโน้มกลับไม่สดใสนัก การสำรวจมุมมองนักวิเคราะห์ที่สำรวจโดย Nikkei Asia คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของจีนจะอยู่ที่ 4.4% ในปี 2025 ขณะที่ธนาคารโลกคาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 4.5%
[ ประเด็นที่ต้องจับตามองเศรษฐกิจจีนปีนี้ ]
1.ภาษีของทรัมป์จะกระทบต่อจีนขนาดไหน?
คำตอบขึ้นอยู่กับระยะเวลาและขอบเขตของแผนการของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์จริงหรือไม่ ถ้าคิดจากที่ทรัมป์พูดตอนหาเสียงว่าจะจัดเก็บภาษีจีนเพิ่มอีก 10%
ผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์ไว้หลากหลาย โดยในกรณีร้ายแรง สหรัฐฯ อาจขึ้นภาษีสินค้าจีนเป็น 60% เร็วที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ส่งผลให้ GDP ของจีนตลอดทั้งปีขยายตัวชะลอลงเหลือ 3.9% แต่อีกกรณีหากอเมริกาขึ้นภาษีสินค้าจีน 20% จะทำให้ GDP ของจีนเติบโตลดลง 0.7% เหลือ 4.5% ในปีนี้
มีการวิเคราะห์ต่อไปอีกว่า จีนอาจรับมือประเด็นเศรษฐกิจด้วยการลดค่าเงินของตนเอง ส่วนธุรกิจส่งออกจีนก็ให้ผู้ผลิตยังคงใช้วิธีเลี่ยงการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกาด้วยการเปลี่ยนเส้นทางการส่งออกผ่านประเทศที่สาม
Capital Economics คาดการณ์ว่า หากสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 60% อาจทำให้ GDP ของจีนลดลง “เกือบ 1%” ขณะที่ความต้องการสินค้าจากจีนของสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% ของ GDP ของจีน
สรุปในประเด็นนี้สถานการณ์การขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนของสหรัฐ ตอนนี้ยังยากที่จะบอกได้ว่าจะออกทรงไหน
2.ปัญหา “กำลังการผลิตเกิน” ของจีนจะแย่ลงอีกหรือไม่?
เมื่อปีที่แล้ว สินค้าส่งออกราคาถูกของจีนจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นของเล่น เครื่องชงกาแฟ ไปจนถึงแผงโซลาร์เซลล์ ทำให้พันธมิตรทางการค้าตั้งแต่อินเดียไปจนถึงสหภาพยุโรปเสนอหรือกำหนดภาษีศุลกากรกับสินค้าจีนบางรายการเพื่อปกป้องธุรกิจและแรงงานของตนเอง
รวมถึงการที่อุปทานสินค้าที่มากเกินไปทำให้ผู้ส่งออกจากจีนต้องลดราคาสินค้า ทำให้กำไรลดลง และทำให้มีข้อพิพาททางการค้าแรงขึ้น
สิ่งนี้ยังมีแนวโน้มที่จะมีต่อไปเรื่อยๆ จนถึงปีนี้ แม้จะมีความพยายามของสี จิ้นผิงที่จะเปลี่ยนจีนให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับไฮเอนด์ภายในปี 2035 แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า สินค้าส่วนเกินกำลังการผลิต กำลังทำให้ผลกำไรของผู้ผลิตจีนลดลง และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศจีนเองด้วย
3.จีนจะหลีกเลี่ยงกับดักภาวะเงินฝืดแบบญี่ปุ่นได้หรือไม่
ตลอดปี 2024 จีนต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อผู้บริโภคต่ำและภาวะเงินฝืดด้านสินค้า เป็นสัญญาณเตือนถึงอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับอุปทานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางแรงกดดัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปีตกลงมาต่ำกว่า 2% เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกับญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1990
ตอนนี้ในจีนกำลังเผชิญปัญหาทั้งการบริโภคใช้จ่ายในประเทศลดลง การว่างงานในกลุ่มคนจบใหม่เพิ่มขึ้น บริษัทเอกชนชะลอการกู้ยืมเพิ่มเพื่อขยายธุรกิจ เพราะกังวลกำลังการผลิตที่มากเกินไปทำให้กำไรน้อยลง
4.ความไม่มั่นคงทางสังคมมากขึ้น?
เศรษฐกิจที่ตกต่ำอาจทำให้ความตึงเครียดทางสังคมมากขึ้น ตามรายงานของ China Dissent Monitor พบว่ามีการประท้วงมากกว่า 900 ครั้งเกิดขึ้นในประเทศจีนช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 27% จากปีก่อนหน้า
ในจีนตอนนี้ค่านิยมทำงานหนักเพื่อความมั่งคั่งชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเริ่มถูกตั้งคำถามและผู้คนเริ่มปฏิเสธแนวทางนี้มากขึ้น ทำให้เริ่มมีความเป็นห่วงว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลงอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางสังคมมากขึ้น และอาจนำไปสู่การต่อต้าน เช่น การปฏิเสธที่จะทำงานหนัก การย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ รวมถึงการโอนย้ายทรัพย์สินไปต่างประเทศ
5.แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเป็นยังไง ?
ความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเน้นไปที่การผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยการลดอัตราดอกเบี้ย คงนโยบายการเงินแบบ “ผ่อนคลายในระดับปานกลาง” พูดง่ายๆ คือการลดดอกเบี้ยไปอีก
นักวิเคราะห์จาก Societe Generale ประเมินว่า รัฐบาลจีนอาจปล่อยให้ค่าเงินอ่อนค่าลงเพื่อตอบโต้ภาษีศุลกากร แต่คาดว่าคงไม่เร่งให้ค่าเงินอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน
นักลงทุนคาดหวังว่ารัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการออกพันธบัตร 3 ล้านล้านหยวนในปีนี้ โดยคาดว่าส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในการเพิ่มทุนให้กับธนาคาร ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้ในการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และโครงการสวัสดิการสังคม รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง
ปีนี้ถือเป็นปีเดิมพันเศรษฐกิจจีน หลังต้องเผชิญกับวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ วิกฤตเงินทุนของรัฐบาลท้องถิ่น และตลาดแรงงานที่ซบเซา ปัญหาการบริโภคในประเทศ ปัญหาเงินฝืดและกำลังการผลิตล้นเกิน รวมทั้งข้อพิพาททางการค้ากับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ
และนี่คือสรุปภาพรวมที่พอจะทำให้เราเห็นว่ามีความน่ากังวลอะไรกับเศรษฐกิจจีนที่รออยู่ในปีนี้