จีนอาจปล่อยสหรัฐฯ แบน TikTok ขณะที่เหลือ 1 สัปดาห์ก่อนเส้นตาย

รัฐบาลปักกิ่งเตรียมใช้นโยบายยอมหักไม่ยอมงอ ปล่อยให้แอปพลิเคชันชื่อดังต้องยุติการให้บริการในสหรัฐฯ

วันที่ 12 ก.ย. 2020 สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวภายในจำนวน 3 รายที่ระบุว่า ทางการจีนจะไม่ยอมให้ติ๊กต็อก (TikTok) ตกเป็นฝ่ายโดนบังคับให้ขายกิจการในสหรัฐฯ เนื่องจากจะทำให้พวกเขาดูอ่อนแอ และยอมแพ้ต่อแรงกดดัน

รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขีดเส้นตายให้ติ๊กต็อกขายกิจการในสหรัฐฯ ภายในวันที่ 20 ก.ย. มิฉะนั้นจะทำการสั่งห้ามไม่ให้ดำเนินกิจการในสหรัฐฯ ด้วยข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง

มีบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ หลายแห่งที่สนใจจะเข้าซื้อกิจการ แต่การเจรจาต้องหยุดชะงักลง เมื่อรัฐบาลจีนออกนโยบายใหม่ในวันที่ 28 ส.ค. เป็นการ

ไม่ให้บริษัทในจีนขายเทคโนโลยีบางบางชนิดให้ต่างชาติ ก่อนได้รับอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วบังเอิญว่าติ๊กต็อกดันมีอัลกอริทึมตัวหนึ่งที่เข้าข่ายพอดี

การออกคำสั่งครั้งนี้ทำให้ติ๊กต็อกไม่สามารถขายกิจการในสหรัฐฯ ให้แก่ผู้ที่สนใจได้ ทำให้ถึงแม้จะตกลงราคากันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้แล้ว แต่ขั้นตอนการขออนุญาตอาจกินเวลานาน และไม่ทันเส้นตายที่ทางสหรัฐฯ กำหนดเอาไว้

WATCH: 'I am not extending deadlines,' says President Trump on a sale of TikTok's U.S. assets https://t.co/wqWyLAppvC pic.twitter.com/o92rJvnYQO

— Reuters Business (@ReutersBiz) September 11, 2020

ล่าสุดประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่าจะไม่มีการเลื่อนเส้นตายอย่างเด็ดขาด โดยให้สัมภาษณ์ว่า “เดี๋ยวเราคงได้รู้กัน มันเป็นไปได้สองทางคือพวกเขาต้องปิด หรือไม่ก็ต้องขายกิจการซะ”

ณ ตอนนี้ติ๊กต็อกกำลังเผชิญความกดดันอย่างหนัก เพราะถ้ากิจการของพวกเขาในสหรัฐฯ โดนปิด เท่ากับว่าเงินที่พวกเขาลงทุนไปกับการสร้างฐานผู้ใช้งาน จะไม่มีค่าใดๆ เลยหลังวันที่ 20 ก.ย. หากผู้ใช้งานเหล่านั้นไม่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันได้

แต่ในขณะเดียวกันหากจะขายกิจการเพื่อให้ได้เงินจำนวนหนึ่งกลับมาใช้ลงทุนในส่วนอื่น ก็โดนรัฐบาลตัวเองกีดกันอีก

ขณะนี้ทางผู้ที่สนใจจะซื้อกิจการ ได้พูดคุยถึงทางออกก็คือการซื้อกิจการโดยที่ยังปล่อยให้อัลกอริทึมหลักยังเป็นของติ๊กต็อกอยู่ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลจีน ซึ่งยังไม่มีคำยืนยันออกมาว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯ จะพอใจกับแนวทางนี้หรือไม่

ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นแบบใด แต่ข่าวใหญ่ที่อยู่บนหน้าสื่อทั่วโลกมานานหลายเดือนเรื่องนี้ อาจใกล้ถึงบทสรุปภายใน 1 สัปดาห์ข้างหน้าแล้ว