สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า องค์การสหประชาชาติเรียกร้องให้มีการสืบสวนกรณีมีข้อมูลว่ารัฐบาลจีนบังคับเอาอวัยวะ จากกลุ่มผู้นับถือลัทธิฟาหลันกง เพื่อมาขายแก่ผู้ต้องการปลูกถ่ายอวัยวะในโรงพยาบาล

ภาพสมาชิกลัทธิฟาหลุนกง ซึ่งเป็นกลุ่มศาสนาต่อต้านรัฐบาลจีนให้สัมภาษณ์แก่ AFP กลุ่มดังกล่าวเคมีสมาชิกในจีนกว่า 70 ล้านคนก่อนจะมีการกวาดล้างจนผู้รอดชีวิตจากการหายไปอย่างไร้ร่องรอยต้องหลบหนีออกนอกประเทศ
ฮามิด ซาบิ นักกฎหมายสิทธิมนุษยชนขององค์กร China Tribunal ส่งหลักฐานต่อสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกรณี (UNHRC) พบว่ารัฐบาลจีนมีการบังคับเอาอวัยวะจากนักโทษซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในปริมาณมากมาเป็นเวลาหลายปี และยังทำอยู่ในปัจจุบัน พร้อมเรียกร้องให้มีการสืบสวนโดยไวเนื่องจากเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ซาบิ ระบุว่า เหยื่อที่ถูกบังคับเอาอวัยวะนี้มีทั้งสิ้นหลายแสนคน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้นับถือลัทธิฟาหลุนกงซึ่งเป็นกลุ่มศาสนาต่อต้านรัฐบาลจีนที่มีสาวกกว่า 70 ล้านคน และชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ โดยมีการตัดหัวใจ ไต ปอด ตับและอวัยวะอื่น ๆ จากผู้ถูกคุมขัง ทั้งที่บางคนยังมีชีวิตอยู่
“การปลูกถ่ายอวัยวะใหม่เป็นศาสตร์ของการช่วยชีวิตคน แต่การฆ่าเจ้าของอวัยวะนั้นเป็นอาชญากรรม” เขากล่าว
ทั้งนี้ทางการจีนให้การปฏิเสธ โดยระบุว่า ได้เลิกใช้อวัยวะจากนักโทษมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558 แล้ว
หลังมีการรายงานข่าวออกไป โฆษกสถานทูตจีนประจำกรุงลอนดอนบอกกับมูลนิธิทอมป์สันรอยเตอร์ว่า ในขณะนี้จีนมีกฎหมายที่กำหนดให้ผู้บริจาคอวัยวะต้องสมัครใจและไม่ได้รับค่าตอบแทน
ปัจจุบันการปลูกถ่ายอวัยวะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในจีน โดยมีผู้ป่วยที่ต้องการการปลูกถ่ายเป็นทั้งชาวจีนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเพื่อรับบริการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจีนเป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่ของบริการนี้เนื่องจากใช้เวลารอคิวน้อยกว่าที่ประเทศอื่น ๆ