SHARE

คัดลอกแล้ว

ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าของประเทศจีน สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ผ่านยุคสมัยและการปกครองมานับไม่ถ้วน นั่นคือประวัติศาสตร์ที่ยังทิ้งร่องรอยแห่งอารยธรรมนับพันปี นอกจากเรื่องราวที่ชวนติดตาม แต่ละสถานที่ยังงดงามดั่งต้องมนต์

ประเทศจีนเพิ่งผ่านการเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปี วันชาติจีน ไปเมื่อ 1 ต.ค. 62 ที่ผ่านมา และเป็นที่ทราบกันดีว่าจีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ในขณะที่ประชาชนในประเทศก็ตื่นตัวรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ล่าสุด สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า มีงานวิจัยเผยแพร่โดยมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ชี้ว่าระบบการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือและระบบอัจฉริยะต่างๆ ของจีน เป็นตัวช่วยส่งเสริมการอุปโภคบริโภคในครัวเรือนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบท

ภาพจาก สำนักข่าวซินหัว

เรื่องดังกล่าวได้รับการยืนยันจากไกด์ชาวจีนที่ “ทีมข่าวเวิร์คพอยท์” ได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปประเทศจีนกับ คณะอาศรมสยาม-จีนวิทยา บมจ.ซีพี ออลล์ ที่สนับสนุนการเดินทางไปเรียนรู้แหล่งประวัติศาสตร์และอารยธรรมจีน ว่า แม้แต่ชาวบ้านที่นำของมาขายริมถนน ก็นิยมใช้ระบบการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือกันหมดแล้ว ไม่ค่อยมีใครใช้เงินสดกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันจีนจะเติบโตรุดหน้าเพียงใด หากแต่ในเรื่องอารยธรรมแล้วนั้นมีมายาวนานกว่า 5,000 ปี ผ่านพ้นวิกฤติมาหลายยุคสมัย มีศิลปวิทยาการและทิ้งร่องรอยสำคัญทางประวัติศาสตร์ไว้มากมาย ที่ยังคงทรงเสน่ห์ชวนให้เดินทางไปสัมผัสและศึกษาอยู่ทุกเมื่อ

เฉกเช่นครั้งนี้ที่ “ทีมข่าวเวิร์คพอยท์” ได้ร่วมเดินทางไปในทริป “ฝ่าด่านเส้าหลิน บุกถิ่น UNSEEN ปักกิ่ง” ซึ่งมีโอกาสได้เปิดประสบการณ์ ตั้งแต่เมืองปักกิ่ง – เจิ้งโจว – เติงเฟิง – ลั่วหยาง สัมผัสดินแดนอารยธรรมหลากหลาย ที่ล้วนมีความเป็นมาที่น่าตื่นตาตื่นใจ

บริเวณสถานีรถไฟความเร็วสูง

พวกเราเดินทางสู่มหานครปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีนกัน ก่อนที่จะออกเดินทางต่อไปยังเมืองเจิ้งโจว เมืองเอกของมณฑลเหอหนาน ซึ่งเมืองเจิ้งโจวถูกเรียกว่าเป็น “หัวใจด้านการรถไฟของประเทศจีน” เนื่องจากเมืองนี้เป็นชุมสายสำคัญของระบบรถไฟทั้งแบบธรรมดาและความเร็วสูง เราจึงได้เดินทางข้ามเมืองกันด้วยรถไฟความเร็วสูง G801 Beijing West-Zhengzhou East โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชม. เพื่อไปล่องเรือสะเทินน้ำสะเทินบก ชม “แม่น้ำเหลือง” หรือในชื่อภาษาจีนคือ “แม่น้ำฮวงโห” อู่อารยธรรมอันทรงคุณค่าแห่งหนึ่งของแผ่นดินจีน เพราะเป็นบริเวณที่ตั้งรกรากของชนชาวจีนมาแต่แรกเริ่มเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ซีอาน, นานกิง, ปักกิ่ง, ลั่วหยาง, ไคฟง, อานหยาง, หางโจว ที่ล้วนตั้งอยู่ตามลุ่มแม่น้ำฮวงโห แม่น้ำที่มีความยาวถึง 5,464 กม. เป็นแม่น้ำสายที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของจีน รองจากแม่น้ำแยงซี และมีความยาวเป็นอันดับที่ 6 ของโลก

แม่น้ำเหลือง หรือ แม่น้ำฮวงโห

แม่น้ำเหลือง หรือ แม่น้ำฮวงโห

ที่ต้องนั่งเรือสะเทินน้ำสะเทินบกในช่วงแรกก็เพราะ ตอนเริ่มออกเดินทางนั้นล่องไปบนแม่น้ำเหลืองที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา แล้วเรือจึงไปปีนขึ้นบริเวณจุดชมวิวจุดแรกซึ่งเป็นเกาะกลางแม่น้ำเหลือง สะดวกทั้งขึ้นบกและลงน้ำ ที่นั่นมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งนำม้ามาให้บริการนักท่องเที่ยว และมีสินค้าจำหน่าย

เรือสะเทินน้ำสะเทินบก

หลังขึ้นจากเรือ ที่นี่ยังมีจุดชมวิวอีกแห่งที่เดินชมได้ ด้านล่างมองเห็นรูปหินจักรพรรดิเหยียนตี้และหวงตี้ กษัตริย์ในตำนานจีนที่ชาวจีนต่างให้ความเคารพนับถือ โดยเห็นพ้องกันว่าเป็นปฐมกษัตริย์และบรรพบุรุษของชาวจีนทุกคน ซึ่งหากใครมีแรงเดินจะเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนก็ย่อมได้

รูปหินจักรพรรดิเหยียนตี้และหวงตี้

วันต่อมาเราเดินทางไปยังสำนักฝึกกังฟูอันลือลั่นอย่าง “วัดเส้าหลิน” วัดทางพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตั้งอยู่บนเทือกเขาซงซาน 1 ใน 5 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิเต๋า เมืองเติงเฟิง มณฑลเหอหนาน มีความเก่าแก่มากกว่า 1,500 ปี

บริเวณทางเข้า “วัดเส้าหลิน”

วัดเส้าหลิน เริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ.495 ในรัชสมัยของจักรพรรดิเซี่ยวเหวินตี้ แห่งราชวงศ์เว่ยเหนือ ได้รับการยกย่องว่าเป็น “วัดที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในแผ่นดิน” เนื่องจากพระนักรบของวัดเส้าหลินในแต่ละยุคได้คิดค้นและพัฒนากังฟูวัดเส้าหลินอย่างต่อเนื่องจนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ทำให้วัดเส้าหลินเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 5A โดยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2010 อาคารหลักของวัดเส้าหลินที่เรียกว่า ฉางจู้ย่วน, ศาลบรรพบุรุษ และสุสานป่าเจดีย์ ที่มีเจดีย์จำนวนกว่า 200 องค์ ใช้สำหรับเป็นสุสานฝังศพอดีตเจ้าอาวาสและหลวงจีนที่มรณภาพ ได้รับคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม

สุสานป่าเจดีย์ ที่วัดเส้าหลิน

แรกสัมผัสสถานที่แห่งนี้คืออากาศที่เย็นสบาย วิวทิวทัศน์งดงามตระการตาท่ามกลางภูเขาสีเขียวที่โอบล้อม ภายในวัดประกอบด้วยสถาปัตยกรรมล้ำค่ามากมาย

ทั้งยังทิ้งร่องรอยการฝึกกังฟูไว้ ไม่ว่าจะเป็นรอยบุ๋มบนต้นแปะก๊วยที่มีอายุกว่าพันปี หรือพื้นภายในตำหนักพันพุทธะที่ยุบลงไปอย่างเห็นได้ชัด

ร่องรอยการฝึกกังฟู – รอยบุ๋มบนต้นแปะก๊วยที่มีอายุกว่าพันปี

พื้นภายในตำหนักพันพุทธะที่ยุบลงไปอย่างเห็นได้ชัด

ปัจจุบันวัดเส้าหลินมีพระจำพรรษากว่าร้อยรูป ซึ่งนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ชมสถาปัตยกรรมอันงดงาม และวิวพาโนรามารอบวัดแล้ว ที่วัดยังมีการแสดงกังฟูให้ชมอีกด้วย เพียงแต่นักแสดงไม่ใช่พระในวัด แต่เป็นนักเรียนที่เรียนกังฟูในโรงเรียนที่อยู่ติดกับวัดเส้าหลิน ซึ่งได้รับการคัดเลือกมาแล้วทั้งรูปร่าง หน้าตา และความเก่ง อีกทั้งทางเดินก่อนออกไปยังบริเวณลานจอดรถ ยังคราคร่ำไปด้วยของฝากนานาชนิด ที่ส่วนมากชูเอกลักษณ์ของวัดไว้ด้วยหลวงจีนน้อยในท่วงท่ากังฟูแบบต่างๆ

ของฝาก ของที่ระลึก บริเวณทางออกจากวัดเส้าหลิน

จากนั้นเราก็ออกเดินทางกันต่อด้วยรถบัสสู่ “เมืองลั่วหยาง” เมืองที่ถือเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมจีน มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับตั้งแต่ยุคหินเก่าราว 5-6 แสนปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นเมืองหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในหมู่ชาวจีนและชาวต่างชาติ มีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญ อาทิ วัดม้าขาว, ถ้ำหินหลงเหมิน เป็นต้น

เราแวะเที่ยวชม “วัดม้าขาว” หรือ ไป๋หม่าซื่อ กันก่อน ซึ่งเป็นวัดทางพุทธศาสนาแห่งแรกที่ตั้งขึ้นในประเทศจีน โดยในปี ค.ศ. 64 จักรพรรดิหลิวจวงแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ทรงส่งขุนนางนำคณะไปยังทิศตะวันตก เพื่ออัญเชิญพระธรรมและคัมภีร์จากชมพูทวีป ตามพระสุบิน ต่อมา ค.ศ. 67 พระเถระของอินเดีย 2 รูป เดินทางมายังเมืองลั่วหยาง โดยใช้ม้าขาวแบกพระคัมภีร์และพระพุทธรูปมาพร้อมกัน แต่เมื่อมาถึงบริเวณที่สร้างวัดปัจจุบัน ม้าขาวตัวนั้นก็สิ้นใจ พระจักรพรรดิจึงทรงให้สร้างวัดชื่อม้าขาวในปี ค.ศ. 68 เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าขาวตัวนั้น และมีรูปปั้นม้าขาวอยู่บริเวณหน้าวัด

รูปปั้นม้าขาว บริเวณหน้าวัดม้าขาว

วัดม้าขาว กลายมาเป็นต้นกำเนิดและศูนย์กลางของพุทธศาสนาในประเทศจีน ซึ่งต่อมาได้มีพระภิกษุอีกนับพันรูปได้จำพรรษา ณ วัดแห่งนี้ รวมทั้งพระอันซื่อกาว พระเสวียนจั้ง หรือ พระถังซัมจั๋ง ด้วย ซึ่งก่อนออกเดินทางไปจาริกแสวงบุญยังประเทศอินเดีย ก็ได้เริ่มต้นการเดินทางจากที่นี่ และเดินทางกลับมายังประเทศจีนในปี ค.ศ. 645 รวมทั้งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสที่วัดแห่งนี้ด้วย

ปัจจุบันวัดม้าขาวมีเนื้อที่ราว 80 ไร่เศษ โดยในปี ค.ศ. 1992 พุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวจีนได้ร่วมกันบริจาคเงินสร้างวิหารหลังหนึ่งในรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยขึ้นทางด้านทิศตะวันตกของวัด ภายในบริเวณวัดม้าขาวยังมีร้านน้ำชาปิดวาจา ที่ไม่ว่าลูกค้าหรือใครเข้าไปในร้านก็ห้ามพูดคุยกันด้วย ประหนึ่งจิบชาและฝึกสมาธิไปในตัว ปัจจุบันวัดม้าขาวถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองลั่วหยาง และมณฑลเหอหนาน โดยมีผู้มาเยือนจากทั่วโลกไม่ขาดสายในแต่ละปี

วัดไทยภายในบริเวณวัดม้าขาว

บริเวณร้านน้ำชาที่ห้ามพูดคุยกัน

รุ่งเช้าเราออกเดินทางไปยัง “ศาลเทพเจ้ากวนอู” ในเมืองลั่วหยาง 1 ใน 3 ศาลเทพเจ้ากวนอู ที่คนจีนเคารพศรัทธาและนิยมเดินทางมากราบไหว้ที่สุด เป็นสิ่งปลูกสร้างสมัยโบราณที่รวมสุสาน วัดและป่าเข้าด้วยกันเพียงแห่งเดียวของประเทศจีน ตามตำนานเล่าขานกันว่า “กวนอู” เป็นชาวเมืองฮอตั๋ง (เมืองอวิ่นเฉิง มณฑลซานซี) และเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสามก๊ก ที่มีความซื่อสัตย์อย่างยิ่ง เมื่อเสียชีวิตจึงได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง และเชื่อกันว่าที่ศาลเทพเจ้ากวนอู เมืองลั่วหยาง นี้ เป็นที่ฝังศีรษะของท่าน ไกด์ชาวจีนที่เดินทางไปพร้อมคณะในครั้งนี้บอกว่า ชาวจีนมักจะมาไหว้ขอพรเรื่องความร่ำรวยกัน

เมื่อเข้าประตูศาลเจ้าแล้ว เราได้พบทางเดินสิงโตหินก่อน เรียกอีกชื่อว่า สะพานมาร์โคโปโลน้อยแห่งลั่วหยาง สร้างในสมัยจักรพรรดิว่านลี่ โดยเงินบริจาคของเหล่าพ่อค้าที่มีจิตศรัทธาในสมัยนั้น เป็นทางเชื่อมระหว่างประตูอี๋เหมินกับตำหนักหลัก มีความยาว 35 เมตร มีสิงโตหินจำนวน 104 ตัว เรียงรายสองข้างทาง ที่ตำหนักหลักมีรูปปั้นกวนอูขนาดใหญ่ เพื่อให้ผู้คนที่เคารพนับถือสักการะบูชา ตามเรื่องของสามก๊ก กวนอูแพ้ซุนกวน จึงถูกจับตัดหัวส่งไปให้โจโฉ โจโฉซึ่งชื่นชอบในตัวกวนอูจึงได้นำศีรษะของท่านไปฝังอย่างสมเกียรติ บริเวณรอบๆ ปลูกต้นสนมากมายจนเป็นป่าสน จึงมีชื่อว่า “กวนหลิน”

ทางเดินสิงโตหิน

บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ฝังศีรษะท่านกวนอู

จากนั้นเราเดินทางกันต่อสู่ “ถ้ำหินหลงเหมิน” หรือ ถ้ำสวรรค์ประตูมังกร ในเมืองลั่วหยาง ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนายุคแรกของจีน ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก มีลักษณะเป็นกลุ่มถ้ำบนหน้าผา 2 ด้าน ที่ประจันหน้าเข้าหากัน โดยมีถ้ำเกือบ 2,500 ถ้ำ มีจารึกแกะสลักตัวอักษรจีนกว่า 3,600 ชิ้น เจดีย์พุทธศาสนากว่า 50 องค์ พระพุทธรูปกว่า 100,000 องค์ ตั้งแต่ขนาดเล็กจิ๋ว 2 เซนติเมตร ไปจนถึงสูงสุด 17 เมตร

รูปแกะสลักที่สมบูรณ์ที่สุดและใหญ่ที่สุดของถ้ำหินหลงเหมินเป็นพระพุทธรูปชื่อ พระไวโรจนะพุทธะ ประทับนั่งสูง 17.14 เมตร หูยาว 1.9 เมตร ใบหน้าอวบอิ่ม มีรอยยิ้มมุมปาก ดวงตางดงาม ทอดสายตามองลงมาเบื้องล่าง นับเป็นผลงานชิ้นเอกที่สร้างด้วยความประณีตงดงามที่สุด มีใบหน้าคล้าย “พระนางบูเช็กเทียน” สตรีคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์จีนที่ได้เป็น “ฮ่องเต้” โดยประดิษฐานอยู่ตรงกลางของถ้ำ ซึ่งในส่วนนี้เรียกถ้ำเฟิ่งเซียนซื่อ ด้านซ้ายขององค์พระประธานประดิษฐานพระมหากัสสปะ, พระสมันตภัทรโพธิสัตว์, โยมอุปัฏฐาก, ท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ, พระวัชรปาณีโพธิสัตว์ ส่วนทางด้านขวาประดิษฐานพระอานนท์, พระมัญชุศรีโพธิสัตว์, โยมอุปัฏฐาก, ท้าววิรุฬหก และพระวัชรปาณีโพธิสัตว์ นอกจากนี้ ถ้ำผายังขนาบข้างด้วยแม่น้ำอี้ เหมาะกับการชมวิวยามเย็น และชมพระอาทิตย์ตกน้ำอย่างยิ่ง

พระไวโรจนะพุทธะ ลักษณะใบหน้าคล้ายพระนางบูเช็กเทียน

แล้วก็ถึงเวลาโบกมือลาเมืองลั่วหยาง ที่แม้จะได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมระดับชาติของจีน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ที่ในปัจจุบันถือเป็นเมืองอุตสาหกรรมอันทันสมัย

เราเดินทางกลับสู่มหานครปักกิ่งอีกครั้ง เพื่อมุ่งสู่ “พระราชวังฤดูร้อน” ซึ่งนับเป็นอุทยานหลวงที่งดงามที่สุดของจีน มีพื้นที่ 1,813 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตไห่เตี้ยน ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 15 กิโลเมตร ส่วนใหญ่เป็นทะเลสาบคุนหมิง ซึ่งในฤดูหนาวจะเป็นน้ำแข็ง สามารถลงไปเดินเล่นได้ ทะเลสาบนี้พระนางซูสีไทเฮาทรงสั่งให้ขุดขึ้น จากนั้นนำดินไปถมเป็นภูเขาแล้วสร้างวังบนภูเขา ให้ชื่อว่า “ว่านโซวซ่าน” (ภูเขาหมื่นปี) พร้อมตำหนักน้อยใหญ่หลายหลัง สวนดอกไม้กว่า 300 แห่ง ลานกว้างหลายแห่งเชื่อมต่อถึงกันด้วยระเบียงทางเดินริมทะเลสาบ ที่มีชื่อเรียกว่า ฉางหลาง ถือเป็นระเบียงที่มีความยาวมากที่สุดในโลก โดยเป็นระเบียงที่มีหลังคาคลุมโดยตลอด ทอดยาวจากหมู่พระตำหนักตะวันออกไปยังเรือหินอ่อนของพระนางซูสีไทเฮาทางตะวันตก ความยาวรวม 777 เมตร สร้างในปีค.ศ. 1750 ทั้งยังมีภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับเทพนิยายของจีนหลายเรื่อง ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วรรณคดี

ทะเลสาบบริเวณพระราชวังฤดูร้อน

เครื่องใช้สมัยพระนางซูสีไทเฮา

ก่อนเดินทางกลับไทย เราปิดทริปกันที่ “ชิงหลงเสีย” หรือหุบเขาชิงหลง แหล่งท่องเที่ยวระดับ 4A ที่มีทั้งทะเลสาบสีมรกตสวยงาม เขื่อน ล่องเรือ ที่ปีนผา เล่นบันจี้จัมป์ และกำแพงเมืองจีนโบราณ ด่านต้าสุ่ยอวี้ ซึ่งเป็นส่วน UNSEEN ของปักกิ่ง ไฮไลต์อยู่ที่การนั่งกระเช้าเปลือยขึ้นและลงสู่กำแพงเมืองจีนด้านบน แต่ถ้าใครกลัวความสูง จะเดินก็ได้ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี

บริเวณชิงหลงเสียแห่งนี้เคยเป็นด่านของกำแพงเมืองในสมัยราชวงศ์หมิง มีลักษณะทางภูมิประเทศป้องกันข้าศึกได้ดี เป็นป้อมปราการป้องกันทางด้านเหนือของนครปักกิ่งถึง 2 สมัย คือ ราชวงศ์หมิง กับ ราชวงศ์ชิง เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยมชมอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1996 ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของนครปักกิ่ง

มองออกไปนอกหน้าต่างระหว่างการเดินทางไปในแต่ละที่ สถาปัตยกรรมและแหล่งศึกษาเรื่องราวในอดีตยังคงอยู่ในทรงจำผ่านตำนานและเรื่องเล่า รวมทั้งการบันทึกอดีตไม่ว่าจะด้วยตัวอักษรหรือวัตถุที่ทิ้งร่องรอยไว้ ท่ามกลางบ้านเมืองในปัจจุบันที่รายล้อมด้วยความเจริญทั้งเศรษฐกิจและเทคโนโลยี เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความทันสมัยและอารยธรรมที่มีมาแต่โบราณกาล

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า