SHARE

คัดลอกแล้ว

วันที่ 7 พ.ย. 62 ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าการขับเคลื่อนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปสู่ความเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ในระดับโลก ที่สร้างสรรค์องค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อสร้างเสริมสังคมไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”  นั้น มหาวิทยาลัยต้องกล้าที่จะตอบโจทย์ที่ยากและท้าทายอย่างมากของสังคม โดยอาศัยคนเก่งที่มีมากมายทุกศาสตร์มาร่วมคิดและร่วมทำโครงการวิจัยและนวัตกรรมที่ท้าทายด้วยกัน อย่างมุ่งเป้า เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเพื่อให้การขับเคลื่อนงานที่ท้าทายเหล่านี้สามารถริเริ่มได้รวดเร็วทันการณ์

ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทายาลัย ให้ใช้เงินจากรายได้ที่ได้จากการบริหารทรัพย์สินรายได้จากมาบุญครองตั้งเป็น “กองทุน ศตวรรษที่ 2 เพื่อการก้าวกระโดด ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ในการสนับสนุนโครงการวิจัยขนาดใหญ่เพื่อตอบโจทย์ที่ท้าทายของสังคมอย่างจริงจังให้เกิดขึ้น  โดย หวังว่าระยะยาวโครงการที่มีคุณภาพสูงเหล่านี้สามารถตอบโจทย์สังคมที่ท้าทายและยากมากได้อย่างแท้จริง และได้รับการสานต่อจากทางรัฐบาล และจากเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปในที่สุด  ตัวอย่างของโครงการขนาดใหญ่ ที่ได้รับการสนับสนุน จากกองทุนฉบับที่ 2 ได้แก่ โครงการ จุฬาอารี เป็นการวิจัยนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์สังคมสูงวัย (Chula ARi : Aging Research Innovation), โครงการ ออกแบบเพื่อสังคม (Chula D4S, Design for Society) และโครงการ Cancer Cure เป็นต้น  ซึ่งแต่ละโครงการ จะเป็นการทำงานร่วมกันจากคนเก่งข้ามศาสตร์จากหลายคณะ เพื่อสร้างผลผลิต และผลกระทบที่มีคุณภาพสูงได้อย่างแท้จริง

โครงการแพทย์จุฬาฯ พัฒนางานวิจัยภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง หรือ Cancer Cure เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สำคัญ ของกองทุนศตวรรษที่ 2 ที่ผนึกพลังจากหลายคณะและสถาบันทั้งในด้านแพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์วิศวกรรมศาสตร์ สังคมศาสตร์ เพื่อร่วมกันทำวิจัย การพัฒนาภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง เพื่อแก้ปัญหา มะเร็งที่พบเพิ่มขึ้นในสังคมสูงวัย และ วัยต่างๆ นอกจากนี้ จากผลงานเบื้องต้นของโครงการนี้ได้นำไปสู่การสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชนและ สังคม ซึ่งเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง  ผลงานเชิงประจักษ์ต่างๆเหล่านี้ จะมีออกมาเพื่อทำให้สังคมดีขึ้นอย่างจริงจังและต่อเนื่องในอนาคตต่อไป  นอกจากนี้โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ จะเป็นกลไกสำคัญ ในการผลิต คนเก่งคนดี นักวิจัย แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ ที่มี จิตใจ เพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และสามารถบรรลุตามเป้าหมายสำคัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ในที่สุด

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ สภากาชาดไทย กล่าวถึงความมุ่งมั่นของคณะแพทย์ และ รพ.จุฬาฯ ในการแก้ปัญหาโรคมะเร็งซึ่งเป็นสาเหตุการในการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยว่า ในปัจจุบันโรงพยาบาลจุฬาฯประสบกับจำนวนผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นทางคณะแพทย์ และ รพ.จุฬาฯ จึงมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ

โดยในปีที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ รักษามะเร็งด้วยโปรตอนแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้มีพิธีนำเครื่องไซโคลตรอนที่ใช้ผลิตโปรตอนเข้าศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯไปเรียบร้อยแล้ว และจะเปิดบริการให้กับประชาชนได้ในเดือนกันยายน ปี 2563 นอกจากนี้ยังมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับการรักษามะเร็งด้วยเทคโนโลยีใหม่ ได้แก่ โครงการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด และโครงการเซลล์บำบัดด้วยเซลล์นักฆ่าเพื่อรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่รักษายาก เป็นต้น และยังให้การสนับสนุนศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันมะเร็งร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง ให้ทำวิจัยทั้งในด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานและการวิจัยทางคลินิกโดยมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การรักษาจริงที่ให้ชาวไทยทุกระดับเข้าถึงได้ตามพันธกิจของสภากาชาดไทยโดยเร็วที่สุด

ตัวอย่างหนึ่งที่เป็นรูปธรรมคือการลงทุนสร้างและปรับปรุงห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อพิเศษสำหรับการผลิตเซลล์เพื่อใช้ทางคลินิกที่ตึกภูมิสิริมังคลานุสรณ์ชั้น 8 ตามแบบและข้อกำหนดซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสำหรับการผลิตเซลล์เพื่อทำการวิจัยทางคลินิกและให้บริการภายในสถาบัน และทางศูนย์ฯได้เริ่มทำการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการควบคุมคุณภาพของการผลิตเซลล์ตามมาตรฐานที่ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดเพื่อรองรับการรับรองมาตรฐาน Good Production Practice และ Good Manufacturing Practice ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เหมาะสมในการนำไปใช้รักษาผู้ป่วยทางคลินิกและภายนอกสถาบันต่อไปในอนาคตอันใกล้

นอกจากนี้ยังมีแผนการขยายเพื่อให้มีการบริการได้เพียงพอโดยมีการสร้างห้องปลอดเชื้อพิเศษทั้งเพื่อการผลิตเซลล์และวัคซีนเฉพาะบุคคลต่อมะเร็งเพิ่มเติมในตึกบูรณาการวิจัยใหม่ร่วมกับตึกรักษาพยาบาลที่เน้นการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างครบวงจร รวมกันเป็น “ศูนย์บูรณาการวิจัยและรักษาโรคมะเร็งของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย” โดยคาดว่าจะเสร็จในปี 2566

รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคมะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง เล่าว่า ในปัจจุบัน มีความก้าวหน้าของการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดอย่างรวดเร็ว ยาภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ยุโรป และอีกหลายประเทศทั่วโลก เป็นแอนติบอดีที่ปลดล็อคสิ่งที่เซลล์มะเร็งสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง ทำให้ภูมิคุ้มกันต้านมะเร็งของผู้ป่วยกลับมาทำงานต่อสู้กับมะเร็งได้ ขณะนี้มีข้อบ่งชี้ในการรักษามะเร็งมากถึง 21 ชนิด โดยมีทั้งที่ให้เป็นการรักษาเป็นยาเดี่ยวหรือให้ร่วมกับยาหรือการรักษาอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ทำให้มีผลเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งหลายชนิดได้ยาวนานขึ้น ลดการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งบางชนิด

นอกจากยาที่ปลดล็อคระบบภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง ยังมีความพยายามพัฒนานวัตกรรมการรักษามะเร็งด้วยการใช้วัคซีนกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อบำบัดมะเร็งอีกด้วย โดยออกแบบและสร้างวัคซีนที่จำเพาะกับโปรตีนของเซลล์มะเร็ง แล้วนำมาให้ผู้ป่วยมะเร็งเพื่อให้ผู้ป่วยสร้างภูมิต้านทานมะเร็งต่อโปรตีนแปลกปลอมบนเซลล์มะเร็ง ทำให้มีการทำลายเซลล์มะเร็งด้วยระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยคล้ายกับการต่อสู้เชื้อโรคสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายผู้ป่วยโรคติดเชื้อ สำหรับงานวิจัยของเรามุ่งเน้นไปที่การพัฒนาวัคซีนเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งแต่ละราย ให้เหมาะสมกับความหลากหลายของมะเร็งในแต่ละบุคคล และมีแผนที่จะพัฒนาไปใช้ร่วมกับยาแอนติบอดีที่ปลดล็อคการต่อต้านระบบภูมิคุ้มกันของเซลล์มะเร็ง โดยมีขั้นตอนการทำงานหลัก ๆ 3 ขั้นตอน

ขั้นที่ 1: นำเนื้อเยื่อมะเร็งจากผู้ป่วยแต่ละรายมาตรวจหาโปรตีนของเซลล์มะเร็งที่มีการกลายพันธุ์ เพื่อหาโปรตีนที่เป็นเป้าหมายเฉพาะของมะเร็งในผู้ป่วยแต่ละราย

ขั้นที่ 2:  ผลิตวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เป็นเป้าหมาย ‘เฉพาะบุคคล’ เพื่อให้มีผลในการรักษาเฉพาะผู้ป่วยรายนั้นๆ อย่างเหมาะสมที่สุด

ขั้นที่ 3: นำวัคซีนฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย และติดตามผลการรักษามะเร็ง

ในปีที่ผ่านมาเราได้ทำวิจัยขั้นตอนที่ 1 และ 2 ได้สำเร็จแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพิจารณาจากคณะ กรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเริ่มวิจัยทางคลินิกในขั้นตอนที่ ตามข้อกำหนดในการใช้วัคซีน อ.นพ.กรมิษฐ์ ศุภพิพัฒน์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยเซลล์บำบัดมะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง กล่าวถึงภารกิจของกลุ่มวิจัยภูมิคุ้มกันด้านเซลล์บำบัด (Cancer Cellular Immunotherapy)  โดยพันธกิจของศูนย์ฯ มุ่งเน้นไปยังงานวิจัย 2 เรื่อง คือ

1.การพัฒนา NK cell (Natural Killer cell หรือ เซลล์นักฆ่า ในระหว่างปี 2561-2562 ทางศูนย์ฯ ได้ดำเนินโครงการนำร่องเพื่อศึกษาความเป็นไปได้และความปลอดภัยของการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิลอยส์ที่ความเสี่ยงสูงด้วยเซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาคแก่ผู้ป่วยจำนวน 10 ราย จากการดำเนินโครงการนำร่อง ทางศูนย์ฯประสบความสำเร็จในการผลิตเซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาคให้มีจำนวน คุณภาพ และ ความปลอดภัย ผ่านเกณท์มาตรฐานของการใช้เซลล์ทางคลินิกภายในห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อพิเศษสำหรับการผลิตเซลล์เพื่อใช้ทางคลินิก และยังพบว่าการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาคในผู้ป่วยกลุ่มนี้มีมีความปลอดภัยสูงและมีผลข้างเคียงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้

โดยผู้ป่วยรายแรกที่เข้าร่วมโครงการนั้นมีระยะปลอดโรคนานถึง 18 เดือนแล้วหลังจากได้รับเซลล์นักฆ่า โดยทางศูนย์มีความมุ่งหวังจะดำเนินโครงการวิจัยทางคลินิกในระยะที่ 1 และ 2 ต่อไปในปี 2563 เพื่อศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาดังกล่าวแก่ผู้ป่วยกลุ่มที่เหมาะสมต่อไปในอนาคต

2.ทางศูนย์ฯ ได้เริ่มพัฒนาการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดลิมฟอยส์ด้วย Chimeric Antigen Receptor T cell ร่วมกับมหาวิทยาลัย Nagoya ประเทศญี่ปุ่น โดย Chimeric Antigen Receptor T cell นี้คือเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้มีความจำเพาะต่อมะเร็ง ซึ่งทำให้สามารถควบคุมมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมฟอยส์ที่กลับเป็นซ้ำหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐานได้สูงถึง 80-90% การรักษาดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วในสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 10-15 ล้านบาท

ศูนย์ฯ จึงได้มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Nagoya ประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนาผลิต Chimeric Antigen Receptor T cell ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนการผลิตต่ำเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาดังกล่าวแก่ผู้ป่วยชาวไทย ซึ่งการทดสอบในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลองพบว่าเซลล์ที่ผลิตด้วยวิธีใหม่นี้มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว และมีความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง ทางศูนย์ฯมีความมุ่งหวังจะเริ่มต้นดำเนินการวิจัยทางคลินิกในระยะที่ 1 แก่ผู้ป่วยจำนวน 12 รายตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ซึ่งในปัจจุบันโครงการวิจัยดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ฯ

อ.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้ากลุ่มวิจัยพัฒนาแอนติบอดีเพื่อการรักษามะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง และผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความก้าวหน้าในการพัฒนายาแอนติบอดีเพื่อทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวสามารถกลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและกลับมากำจัดเซลล์มะเร็งได้ตามธรรมชาติ ในราคาที่เข้าถึงได้มากที่สุดสำหรับคนไทยว่า กระบวนการพัฒนายาแอนติบอดีนั้นมีความซับซ้อน ต้องผ่านการทดสอบหลายขั้นตอน ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดแบ่งได้ 5 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 : การผลิตยาแอนติบอดีต้นแบบจากหนู ทำการผลิต เลือก และทดสอบยาต้นแบบจากเซลล์เม็ดเลือดขาวของหนูมากกว่าหนึ่งแสนแบบ ซึ่งในขั้นตอนนี้ใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2560 ซึ่งทางศูนย์ฯ ทำสำเร็จได้ยาต้นแบบตัวแรกที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงยาในท้องตลาดจากต่างประเทศ

ระยะที่ 2 : ปรับปรุงแอนติบอดีต้นแบบจากหนูให้คล้ายกับโปรตีนของมนุษย์มากที่สุดและเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้นใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท ระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งปัจจุบันงานวิจัยของกลุ่มอยู่ในระยะที่ 2 นี้ และมีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์

ระยะที่ 3 : เมื่อได้ยาต้นแบบที่ปรับปรุงแล้ว จึงทำการผลิตยาจากโรงงานในปริมาณมากให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยสูงสุดเพื่อนำไปใช้ทดสอบในระยะต่อไป ขั้นตอนนี้ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ระยะเวลา 24 เดือน

ระยะที่ 4 : ทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะทดสอบในมนุษย์ ต่อไปคาดว่าจะใช้งบประมาณ 100-200 ล้านบาท และระยะเวลา 24 เดือน

ระยะที่ 5 :  การทดสอบในมนุษย์ เป็นการทดสอบตัวยาในผู้ป่วยมะเร็งในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีการทดสอบต่างๆ อาทิ ปริมาณการให้ยา ประสิทธิภาพการรักษา ผลข้างเคียง เป็นต้น คาดว่าจะใช้งบประมาณ 1000 ล้านบาท และระยะเวลา 48 – 60 เดือน

ศ.ดร.พญ.ณัฏฐิยา หิรัญกาญจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวปิดท้ายว่าถึงแม้ว่างานวิจัย จากทั้ง 3 พันธกิจของศูนย์จะมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และได้รับความสนับสนุนจากหลากหลายหน่วยงานและประชาชนโดยทั่วไป แต่การศึกษาและวิจัยยังต้องใช้เวลาและเงินทุนในการทำงานวิจัยในขั้นต่อๆ ไปอีกเป็นจำนวนมาก จึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องหาแหล่งทุนทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเพื่อสนับสนุนการวิจัยเพื่อให้เกิดความสำเร็จต่อไปอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ทางคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้จัดกิจกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่องทั้งเพื่อระดมทุนสนับสนุนและเพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน ล่าสุดที่อยากจะฝากประชาสัมพันธ์คือ “กิจกรรมงานวิ่งการกุศล “Chula Cancer Run ก้าว…ทันมะเร็ง” ที่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562 ณ สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยจัดให้มีการวิ่ง 3 ระยะทาง ได้แก่ 2.2 กม. 5.2 กม. และ 10.2 กม.

ซึ่งเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพดี และตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลตนเองเพื่อห่างไกลโรคมะเร็ง งานนี้ยังได้รับความอนุเคราะห์จากสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ศิษย์เก่าอย่างพี่ตูนจากมูลนิธิก้าวคนละก้าวมาร่วมวิ่ง 10.2 กม.กับเราด้วย ผู้สนใจสมัครกันได้ที่ https://race.thai.run/chulacancerrun นะคะ นอกจากนี้จะมีกิจกรรม Virtual Run พร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2562 จนไปถึงวันมะเร็งโลกในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ปีหน้าเพื่อให้มีการออกกำลังกายต่อเนื่อง ติดตามได้ใน LINE @chulacancerrun หรือสำหรับผู้ที่ต้องการจะร่วมบริจาคเพื่อการวิจัยสามารถบริจาคเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ “คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เงินบริจาคเพื่อการวิจัย) เลขที่  045-304669-7 (กระแสรายวัน) ผู้ที่ต้องการใบเสร็จเพื่อลดหย่อนภาษีขอให้กรอกข้อมูลขอใบเสร็จมาทาง online http://canceriec.md.chula.ac.th/donation/   

 

 

 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า