อุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ต่างพากันแบนและหยุดให้บริการในรัสเซียไปแล้ว ทีนี้มาดูท่าทีของบริษัทคริปโตกันบ้าง
ล่าสุด Coinbase บริษัทเทรดคริปโตรายใหญ่ในสหรัฐฯ ประกาศบล็อกบัญชีวอลเล็ตจากรัสเซีย ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายไปแล้วกว่า 25,000 ราย
Coinbase ให้รายละเอียดเพิ่มเกี่ยวกับการตรวจจับบัญชีน่าสงสัยว่า ทางบริษัทใช้โปรแกรมวิเคราะห์บล็อคเชนที่ซับซ้อน เพื่อระบุพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงสูง และในการเปิดบัญชี ผู้ใช้งานต้องระบุตัวตน รวมถึงชื่อและประเทศที่อยู่ก่อนจะเริ่มทำธุรกรรมใดๆ
นอกจากนี้ Coinbase ยังมีวิธีระบุบัญชีที่ถือโดยบุคคลติดแบล็กลิสต์ แม้ว่า Coinbase จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาได้โดยตรงก็ตาม
และจากการตรวจสอบวอลเล็ตรอบล่าสุดนี้ ทาง Coinbase ได้ใช้วิธีสอบสวนเชิงรุกของตัวเอง พร้อมกับแชร์ข้อมูลตรวจสอบรายชื่อร่วมกับรัฐบาลด้วย
[ คริปโตโดนเพ่งเล็ง กลัวว่าจะเป็นเส้นทางการเงินรัสเซีย ]
ช่วงแรกๆ ที่สงครามเริ่มแรงขึ้น ฝั่งรัฐบาลที่ต้านรัสเซียก็ตั้งคำถามว่า คริปโตจะเป็นหนึ่งในช่องทางหลีกเลี่ยงคว่ำบาตรทางการเงินของรัสเซียหรือไม่ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่รัสเซียถูกคว่ำบาตรทางการเงินหลายทางตั้งแต่ SWIFT, VISA, Mastercard รวมถึงธนาคารในรัสเซียหลายแห่ง
ปลายเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา Mykhailo Fedorov รองนายกรัฐมนตรียูเครน โพสต์ทวิตเตอร์เรียกร้องให้บริษัทคริปโตทั่วโลก ปิดการเข้าถึงไม่ให้คนรัสเซียเข้าเทรดคริปโต
รัฐบาลสหรัฐฯ เองก็มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน โดยสมาชิกพรรคเดโมแครต 4 คน (Elizabeth Warren, Mark Warner, Sherrod Brown, Jack Reed) เขียนจดหมายถึงกระทรวงการคลังเตรียมแผนรับมือหากรัสเซียหันเข้าหาคริปโตเข้าจริงๆ
[ บริษัทคริปโตมองว่า คริปโตนั้นยังเล็กสำหรับรัสเซีย และติดตามได้ ]
เมื่อมีกระแสกดดันคริปโตมากขึ้นเรื่อยๆ บรรดาบริษัทคริปโตก็ออกมาพูดเพื่อเคลียร์ให้ชัดเจน ส่วนใหญ่พูดไปในทางเดียวกันว่ารัสเซียไม่น่าใช้คริปโตหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตร
เริ่มจาก Changpeng Zhao ผู้ก่อตั้ง Binance แพลตฟอร์มเทรดรายใหญ่ บอกว่า คริปโตนั้นเล็กเกินไปสำหรับรัสเซีย และเมื่อมองจากสัดส่วนคนถือคริปโตในตอนนี้อาจมีแค่ 3% ของประชากรโลก นอกจากนี้รัสเซียจะไม่ใช้คริปโตแน่นอน เพราะมันติดตามได้ ตรวจสอบได้
ด้าน Coinbase ก็มีแนวคิดไปในทางเดียวกับ Binance ยืนยันว่า การฟอกเงินในระบบเงินธรรมดาหรือ fiat money นั้น ทำได้ง่ายกว่าสกุลเงินดิจิทัล
โดยการฟอกเงินผ่านสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม ยังคงเป็นกลไกที่พบบ่อยที่สุด และติดตามได้ยาก
นอกจากนี้ยังมีวิธีเคลื่อนย้ายเงินผ่าน shell company หรือบริษัทที่ตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟอกเงิน ทำให้การสอบสวนนั้นยากและซับซ้อนขึ้นไปอีก
ตรงกันข้าม ธุรกรรมบนสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ข้อมูลคงอยู่ถาวร และเป็นสาธารณะ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Coinbase สามารถตรวจจับและป้องกันบัญชีที่อยู่ในแบล็กลิสต์ได้
ก่อนหน้านี้ Brian Armstrong ซีอีโอ Coinbase ก็โพสต์ทวิตเตอร์ด้วยว่า ผู้มีอำนาจของรัสเซีย ไม่น่าจะใช้คริปโตหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตร
เพราะการใช้เงินจำนวนมากผ่านคริปโตนั้นตรวจสอบย้อนกลับได้ง่ายกว่าการใช้เงินสด งานศิลปะ ทองคำ หรือสินทรัพย์อื่นๆ ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
แต่ไม่ใช่ว่าบริษัทจะไม่ทำตามกฎหมาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Coinbase คัดกรองผู้ที่สมัครใช้บริการ และบล็อกธุรกรรมจากที่อยู่ IP ที่อาจเป็นของบุคคลหรือนิติบุคคลที่ถูกคว่ำบาตร
ด้าน Jerry Brito ผู้อำนวยการบริหารของ Coin Center หน่วยงานด้านคริปโตมองว่า ตอนนี้การคว่ำบาตรขยายขอบเขตไปกว้างขวางและใหญ่มาก และถ้ามี oligarch หรือเศรษฐีรัสเซียคนไหนพยายามเคลื่อนย้ายเงินผ่านคริปโต มันจะถูกค้นพบได้ในทันที
ชวนอ่านบทบาทของแบรนด์ในสังครามรัสเซีย-ยูเครน
- รวมแบรนด์ที่ประกาศจุดยืน ‘แบนรัสเซีย’ https://workpointtoday.com/brand-ban-russia/
- กลุ่มบริษัทเทคเคลื่อนไหว พร้อมใจคว่ำบาตรรัสเซีย https://workpointtoday.com/tech-companies-move-to-sanction-russia/
- บริษัทการเงินทยอยแบนรัสเซีย Visa-Mastercard ประกาศจุดยืน ช่วยเหลือยูเครน https://workpointtoday.com/fin-com-sanction-russia/
- Uniqlo ไม่ถอนตัวจากรัสเซีย ซีอีโอให้เหตุผล เพราะเสื้อผ้าเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิต https://workpointtoday.com/uniqlo-stay-in-russia/
ที่มา : The Verge, Mykhailo Fedorov, Coinbase, New York Times, Brian Armstrong