Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว วันที่ 20 เมษายน ปี 1999 เกิดเหตุการณ์สยองขวัญ ฆาตกรรมหมู่ที่โรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ ในรัฐโคโลราโด้ สหรัฐอเมริกา จนมีผู้เสียชีวิต 13 คน

เหตุการณ์นี้ เป็นเคสที่มีการเสียชีวิตในรั้วโรงเรียนมัธยม มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ในขณะนั้น โดยไฮไลท์สำคัญคือ ฆาตกร คือเด็กนักเรียนเอง ที่อายุ 18 ปีเท่านั้น

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ที่ทำให้เด็กมัธยม 2 คน ลุกขึ้นมาจับปืน ไล่ฆ่าเพื่อนๆของตัวเอง เราจะย้อนไปดูเหตุการณ์ ในเวลานั้นอีกครั้ง พร้อมทั้งผลกระทบที่มีลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน

1) เอริค แฮร์ริส นักเรียนซีเนียร์ (ม.6) ของโรงเรียนโคลัมไบน์ เขาเป็นลูกชายของเวย์น แฮร์ริส นักบินกองทัพอากาศ เจ้าตัวมีความรู้เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างดี เขาเป็นเพื่อนสนิทกับ ดีแลน คลีโบลด์ นักเรียนชั้นเดียวกัน

ทั้งคู่สนิทกันที่โรงเรียน และยังทำงานพิเศษที่เดียวกันในร้านพิซซ่า โดยทั้งสองคนสนใจเรื่องอาวุธ และระบบคอมพิวเตอร์ ครั้งหนึ่งเคยอัดคลิปการขว้างระเบิดแบบไปป์บอมบ์ ขึ้นอินเตอร์เน็ต แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจสิ่งที่สองคนนี้ทำมากนัก

2) มกราคม 1998 ทั้ง 2 คน ต้องคดี จากการไปขโมยคอมพิวเตอร์ ทำให้ต้องทำงานรับใช้สังคม เป็นการลงโทษ โดย ณ เวลานั้น ทั้งคู่เพิ่งจะอายุ 16 ปี และเป็นความผิดครั้งแรก ศาลจึงภาคทัณฑ์เอาไว้ก่อน ไม่จับเข้าสถานพินิจ

3) ทั้งคู่แสดงออกเรื่องความรุนแรงอย่างเปิดเผย มีการอัดคลิปยิงปืน ขว้างระเบิด และด่าผู้คนด้วยคำหยาบคาย มีคำขู่จะฆ่าคน และมีผู้ปกครองนักเรียนท่านอื่นร้องเรียนไปกับทางการแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อว่าทั้งคู่จะกล้าทำมันจริงๆ ผู้เกี่ยวข้องมองว่าเรื่องพวกนี้ ก็เป็นแค่ความคึกคะนองของวัยรุ่นทั่วไปเท่านั้น

4) 20 เมษายน 1999 เอริค และ ดีแลน วางระเบิดไว้ที่ทุ่งหญ้า ที่อยู่ห่างจากโรงเรียนโคลัมไบน์ราว 4.8 กิโลเมตร แล้วตั้งเวลาให้ระเบิดในเวลา 11.14 น. โดยจุดประสงค์เพื่อให้มีไฟไหม้ทุ่งหญ้าอย่างแรง ซึ่งจะเป็นวิธีล่อความสนใจของทั้ง พนักงานดับเพลิง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ไปสนใจแต่การดับเพลิง

5) การระเบิดนั้นไม่สมบูรณ์ มีตัวจุดชนวนบางตัวไม่ทำงาน ทำให้ไฟไหม้เล็กน้อยเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ยังถูกดึงความสนใจไปอยู่ดี นั่นทำให้ เอริค กับ ดีแลน เริ่มแผนการขั้นต่อไป

6) แผนของเอริค กับ ดีแลน คือวางระเบิดทั่วโรงเรียนโคลัมไบน์ ให้ตึกถล่มเพื่อให้มีคนตายมากที่สุด จากนั้นเมื่อเด็กนักเรียนติดอยู่ในซากตึกที่ถล่ม เขาจะเอาปืนขนาด 9 มม. และ ปืนลูกซองบรรจุ 12 นัด ไล่ยิงคนที่ขอความช่วยเหลือให้ตายให้หมด ก่อนที่ตำรวจ และพนักงานดับเพลิงจะมาถึง

7) เอริค กับ ดีแลน เอาระเบิดกว่า 99 ลูก ไปวางไว้รอบโรงอาหาร ซึ่งถ้าระเบิดโดนจุดชนวน มันจะมีพลังทำลายล้าง จนตึกถล่มแน่นอน และเด็กนักเรียนกว่า 488 คน ที่อยู่ในโรงอาหารก็มีสิทธิเสียชีวิตทั้งหมด

เมื่อทั้งคู่ติดตั้งระเบิดครบแล้ว ก็เดินกลับมารอที่รถ แล้วรอเวลาพักเที่ยง จากนั้นก็ กดสวิตช์ระเบิด

8.) เวลา 11.17 เป็นช่วงพักเที่ยงที่มีเด็กนักเรียนมารวมตัวกันในโรงอาหาร ราวครึ่งโรงเรียน ถ้าเกิดระเบิดขึ้นตอนนี้ จะมีคนตายจำนวนมาก แต่ปรากฎว่า ระเบิดกลับไม่ทำงาน สร้างความหัวเสียให้ทั้งคู่เป็นอย่างมากที่แผนไม่สัมฤทธิ์ผล

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนเตรียมใจมาแล้ว ว่าวันนี้ ต้องสังหารคน ดังนั้นจึงเปลี่ยนแผน หยิบเอาปืนทั้งหมดของตัวเองลงมาจากรถ แล้วใช้วิธีเอาปืนไล่ฆ่านักเรียนด้วยมือตัวเองแทน

9) 11.19 ราเชล สกอตต์ และ ริชาร์ด คัสตัลโด้ สองนักเรียนนั่งกินมื้อเที่ยงในสนามหญ้าหน้าทางเข้าโรงเรียนทิศตะวันตก ใกล้กับที่จอดรถ ดีแลน คลีโบลด์ โยนระเบิดควันใส่ทั้งคู่ ตอนแรกทั้งสองคน ก็คิดว่ามันเป็นมุกตลกโง่ๆ จึงไม่หนีไปไหน แต่ทว่าสิ่งที่ตามมาจากด้านหลังกลุ่มควัน คือกระสุนปืน

ราเชล สกอตต์ ตายทันที ส่วนคัสตัลโด้ โดนยิงที่หน้าอก แขน และช่องท้อง เขาไม่ตาย แต่เป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต

เอริค แฮร์ริส ผ่านประตูทางเข้ามาถึงบันได และเจอนักเรียนสามคนเดินสวนมา เขาสาดกระสุนชุดใหญ่ใส่ทันที แดเนียล โรห์เบิร์ก เสียชีวิตทันที ส่วนอีกสองคน คือชอน เกรฟส์ ไม่ตาย แต่อาการหนัก และเป็นอัมพาตในเวลาต่อมา ขณะที่ แลนซ์ เคิร์กลิน ได้รับบาดเจ็บหนักนอนอยู่ที่พื้น

ดีแลน คลีโบลด์ เดินตามเข้ามา เห็นแลนซ์ เคิร์กลิน นอนจมกองเลือดอยู่ เคิร์กลินร้องขอความช่วยเหลือ ดีแลนตอบกลับว่า “แน่นอน ฉันจะช่วยนายเอง” จากนั้น ก็เอาปืนลูกซองยิงเปรี้ยงไปที่หน้าของเคิร์กลิน จนเละเทะ

10) ทั้งสองคนไม่ได้เดินเข้าไปในโรงอาหาร แต่กราดยิงผู้คนบริเวณทางเดิน กระสุนไปโดนนักเรียนหลายคน รวมถึงคุณครูศิลปะ แพตตี้ นีลสัน

นีลสันได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ถึงกับชีวิต เธอรวบรวมพลังโทรหา 911 แจ้งตำรวจว่าเกิดสถานการณ์ยิงกันเกิดขึ้น

ตำรวจ และพนักงานดับเพลิงเพิ่งได้รับแจ้งเหตุไฟไหม้ที่ทุ่งหญ้า ซึ่งเอริค กับ ดีแลน จัดฉากเอาไว้ จึงสับสนเล็กน้อยว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นทำให้มาถึงจุดเกิดเหตุชัากว่าที่ควรจะเป็นไปหลายนาที

11) คุณครูเดฟ แซนเดอร์ส วัย 47 ปี ได้ยินเสียงปืน เขารีบตะโกนและพานักเรียนหนีออกไปที่ประตูอีกด้าน ในขณะที่เด็กหนีออกไปได้จำนวนมากแล้ว ครูแซนเดอร์ส กำลังจะตามออกไป แต่ทว่าไม่ทันการ เขามาเจอกับเอริค และดีแลน ที่เดินมาเห็นพอดี ทั้งคู่รัวปืนใส่ครูแซนเดอร์ส จนจมกองเลือด

เอริค และดีแลน เดินข้ามตัว ครูแซนเดอร์ส ก่อนที่จะเดินต่อไปที่ห้องสมุด ส่วนครู ที่โดนยิง เขาตะเกียกตะกายไปที่ห้องวิทยาศาสตร์ และสุดท้ายเสียเลือดจนตาย ณ ตรงนั้น

12) เอริค กับ ดีแลน เดินมาถึงห้องสมุดที่ชั้น 2 นักเรียนที่อยู่ข้างใน ต่างหลบไปที่ใต้โต๊ะ ทุกคนต่างแอบซ่อนด้วยความหวาดกลัว เอริค ตะโกนสั่งให้ทุกคนลุกขึ้นมา แต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้น ทั้งคู่จึงคว้าปืนมาไล่ยิงด้วยความสนุกสนาน

เริ่มจาก ไคล์ เวลาสเกวซ นักเรียนที่มีอาการพิการ ดีแลน คลีโบลด์ เอาปืนลูกซองยิง 2 นัด ใส่เวลาสเกวซที่หัว และที่หลัง เสียชีวิตทันที

13) ทั้งสองคนตะโกนว่า “นี่คือการล้างแค้นของเรา นี่ล่ะตอบแทนที่พวกแกทำกับเราตลอดปีที่แล้ว!”

“ไอ้พวกนักกีฬามึงลุกขึ้นมาเลย” แต่ไม่มีใครลุกขึ้น

ในขณะเดียวกัน เวลาราว 11.30 ตำรวจก็มาถึงโรงเรียน และทยอยช่วยนักเรียนที่อยู่ชั้นล่างออกไปจากโรงเรียน

เอริค กับ ดีแลน เห็นตำรวจเข้า จึงสาดกระสุนตอบโต้ตำรวจจากหน้าต่างของห้องสมุดชั้นบน ตำรวจยิงสวนขึ้นมา แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไร นั่นทำให้ทั้งสองคนหยุดสู้กับตำรวจ แล้วหันมาไล่ฆ่านักเรียนแทน

14) เอริค หยิบปืนลูกซองยิงใส่คอ สตีเว่น เคอร์นาว วัย 14 ปี จนเสียชีวิตคาที่ จากนั้น เอริค เดินไปไล่หานักเรียนที่แอบซ่อนตามจุดต่างๆ และเขาไปเจอตัว แคสซี่ เบอร์นัล สาววัย 17 ปี โดยเอริคพูดว่า “จ๊ะเอ๋” ก่อนยิงแสกหน้าใส่แคสซี่จนเสียชีวิตทันที

จากนั้นดีแลน ไปเจอไอซาย่าห์ โชล เขาตะโกนเรียกเอริค แฮร์ริสว่า “ไอ้มืดอยู่นี่เว้ย” เอริค แฮร์ริสเดินเข้ามา ทั้งสองคนรัวยิงใส่หน้าอก ไอซาย่าห์ ตายคาที่

15) ทั้งคู่ฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม จนถึงเวลา 11.36 น. ทั้งสองคนจึงหลบหนีออกไปจากห้องสมุด ลงไปที่โรงอาหารในชั้นล่าง เพื่อเช็กดูว่า ระเบิดที่เซ็ตเอาไว้ ทำไมไม่ทำงาน

ระเบิดเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ทั้งคู่พยายามทำให้มันระเบิดแต่ก็ไม่สำเร็จ ทั้งสองคนจึงเดินไปตามทางเดิน แล้วยิงปืนไปเรื่อยเปื่อย โดยตะโกนว่า เจอใครก็ฆ่ามันให้หมดเลยละกัน แต่ว่า ณ เวลานั้น เด็กนักเรียนที่ชั้นล่าง ได้หนีออกไปจากจุดเกิดเหตุทั้งหมดแล้ว

16) เอริค และดีแลน ติดตั้งระเบิดอีกหนึ่งชุดไว้ที่รถของเอริค ในลานจอด โดยตั้งระเบิดเวลาเอาไว้เวลา 12.00 แต่มันก็ไม่ระเบิดเช่นกัน ด้วยความผิดหวังทั้งคู่จึงกลับไปที่ห้องสมุดอีกครั้ง เพื่อเตรียมฆ่าใครก็ตามที่เหลืออยู่ แต่ในห้องสมุดเหลือแต่ศพแล้ว คนที่มีชีวิตหนีไปหมดในช่วงที่ทั้งคู่ลงไปโรงอาหาร

ขณะที่ แพทริก ไอร์แลนด์ กับ ลิซ่า เคราซ์ สองคนที่โดนยิงแต่ยังไม่ตาย ก็นอนจมกองเลือด ดูเผินๆเหมือนว่าเสียชีวิตแล้ว

17) เวลา 12.08 น. ในที่สุด เอริค กับ ดีแลน เมื่อไม่เหลือเหยื่อให้จัดการอีกแล้ว และตำรวจใกล้จะบุกเข้ามา ทั้งคู่ตัดสินใจฆ่าตัวตายพร้อมกันบนห้องสมุดนั่นเอง ปิดฉากเหตุการสังหารหมู่แห่งโรงเรียนโคลัมไบน์

โดยจากเหตุการณ์นี้ มีคนเสียชีวิต 13 คน ถ้ารวมฆาตกรทั้ง 2 ด้วยก็เป็น 15 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 24 คน รวมกระสุนทั้งหมดที่ผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คน ใช้ คือกระสุน 188 แม็กซ์ และปืนลูกซองอีก 100 กว่านัด

18) จริงๆหน่วยสวาทมาถึงจุดเกิดเหตุเวลา 12.00 แต่ไม่รู้สถานการณ์ด้านในว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงรอสถานการณ์สงบก่อน จากนั้นเวลา 13.09 น. จึงได้บุกเข้าไปในโรงเรียนและเข้าช่วยเหลือนักเรียนที่แอบซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วบริเวณ และเคลียร์พื้นที่ในที่สุด

19) หลังจบเหตุ คำถามที่ทุกคนสงสัยคือ เอริค กับ ดีแลน สองนักเรียนมัธยมทำเรื่องแบบนี้ไปทำไม เขามีความแค้นอะไรกับใครเป็นการส่วนตัวหรือไม่ ทำไมถึงเพ่งเล็ง กลุ่มนักกีฬา หรือคนดำ เป็นพิเศษ

มีเพื่อนนักเรียนบางส่วนระบุว่า ทั้ง 2 คน มักโดนกลั่นแกล้งเป็นประจำ มีกลุ่มนักอเมริกันฟุตบอลในโรงเรียน เอาซอสมะเขือเทศ ไปละเลงใส่ทั้งคู่ แล้วโดนด่าว่าเป็นไอ้ตุ๊ด ซึ่งมีสิทธิจะสร้างความโกรธแค้นให้เอริค และดีแลนได้

ในขณะที่ ทฤษฎีของ FBI ระบุว่า ตัวเอริค แฮร์ริส มีความเป็นจิตเภทขั้นรุนแรง และสนุกสนานกับการใช้ความรุนแรง และตัวแฮร์ริสได้ทำการปั่นหัวดีแลน คลีโบลด์ ที่เป็นคนหัวอ่อน ว่าตามเพื่อนได้ง่าย ซึ่งเมื่อโดนกลั่นแกล้งแม้เพียงเล็กน้อย บางคนอาจเอาชนะด้วยวิธีอื่น แต่กับเอริค แฮร์ริส มันต้องจบด้วยความรุนแรง นั่นเองนำมาสู่จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม กับผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หลายคนไม่เคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกับ เอริค และ ดีแลนมาก่อนเลย แต่ก็ยังถูกสังหารอยู่ดี ดังนั้นในเคสการล้างแค้น ตำรวจจึงไม่ปักใจเชื่อแน่ชัดนัก

20) หลังเกิดเหตุ มีนักเรียนและคุณครูได้รับผลกระทบทางจิตใจ ที่เห็นเหตุการณ์หลายคน นักเรียนรายหนึ่งชื่อเกรก บาร์นส์ ฆ่าตัวตายใน 1 ปีต่อมา หลังไม่ลืมภาพฆาตกรรมสยอง ขณะที่ คุณแม่ของ แอนน์ มารี ฮอชฮัลเตอร์ ที่ลูกสาวของเธอโดนยิงจนเป็นอัมพาต ก็ฆ่าตัวตายเช่นกัน เพราะรับสภาพกับชีวิตไม่ได้

21) ขณะที่ครอบครัวของเหยื่อผู้เสียชีวิต ได้แจ้งความตามกฎหมาย กับครอบครัวแฮร์ริส และ ครอบครัวคลีโบลด์ ซึ่งต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยศาล สั่งให้ทั้ง 2 ครอบครัว จ่ายเงินรวม 1.56 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 50 ล้านบาท

ส่วนซูซาน คลีโบลด์ แม่ของดีแลน เธอยอมรับว่า ถึงเวลานี้แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่า ลูกชายของเธอ ไปก่อเหตุเรื่องนั้นได้อย่างไร

22) เหตุการณ์ที่โคลัมไบน์ เป็นเหตุร้ายในโรงเรียนมัธยม ที่มีคนเสียชีวิตมากที่สุด ในประวัติศาสตร์อเมริกา ทำให้แต่ละโรงเรียนมีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างหนักหน่วง

นอกจากนี้ โรงเรียนยังเห็นความสำคัญของการบุลลี่มากขึ้น มีหน่วยงานที่จะคอยช่วยเหลือนักเรียนให้แก้ปัญหา ได้อย่างเหมาะสม หลังจากที่เมื่อก่อน เคยคิดเพียงแต่ว่า มันเป็นเรื่องของเด็กๆเท่านั้น

ขณะที่ในภาพกว้างกว่านั้น มีการพูดคุยกันถึงการควบคุมการใช้ปืน ในสหรัฐอเมริกาด้วย

23) อย่างไรก็ตาม ผ่านมา 20 ปี หลังจากเกิดเหตุโคลัมไบน์ ก็ยังคงมีคดีสะเทือนขวัญ คดีสังหารโหดในโรงเรียนเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น เหตุสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค ในปี 2007 โดยฆาตกรเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย รวมถึงล่าสุดในปีที่แล้ว 2018 คดีสังหารหมู่ ที่โรงเรียนสโตนแมน ดักกลาส ในรัฐฟลอริด้า มีคนตายไป 17 คน

24) ทิ้งท้ายที่ วันครบรอบ 20 ปีของเหตุโคลัมไบน์ โคนี่ แซนเดอร์ส ลูกสาวของ เดฟ แซนเดอร์ส คุณครูคนเดียวที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “น่าเสียดาย และน่าเสียใจที่เหตุโคลัมไบน์ ไม่ใช่เป็นครั้งสุดท้ายที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นในอเมริกา”

 

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า