‘Copper’ บุฟเฟ่ต์พรีเมียม เคยขาดทุนช่วงแรก 9 เดือนติด จนพลิกวิกฤตเป็นกำไร รายได้รวม 800 ล้านในปี 2567

หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ ‘Copper’ ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์พรีเมียมย่านปิ่นเกล้า ที่มียอดลูกค้าจองเข้ามาแน่นเนืองอีกร้านหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่หลายคนน่าจะไม่รู้ว่าเมื่อ 9 ปีที่แล้วก่อนเป็นร้านนี้ เส้นทางธุรกิจของตระกูล ‘พินิจศักดิ์กุล’ ทำธุรกิจอื่นมาก่อน ‘The Sense’ คอมมูนิตี้มอลล์ ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่เป็นของครอบครัวนี้

จุดเริ่มต้นของ ‘สมศักดิ์ พินิจศักดิ์กุล’ ผู้บุกเบิกร้านอาหาร Copper จากแพชชั่นที่มักพาครอบครัวไปทานอาหารบุฟเฟ่ต์โรงแรม ตัดสินใจยุติบทบาทอาชีพที่ร้านจิวเวลรี่ด้วยประสบการณ์ 50-60 ปี เพื่อมาเปิดคอมมูนิตี้ และร้าน Copper หลังจากนั้น จนกลายเป็นธุรกิจที่มีรายได้ทะลุ 800 ล้านบาทเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา 

[ Copper เกิดขึ้นเพราะต้องการหาแม็กเน็ตให้ The Sense ]

‘พจนีย์ พินิจศักดิ์กุล’ ประธานกรรมการบริหารคอปเปอร์ บียอนด์ บุฟเฟต์ ทายาทที่รับช่วงบริหารธุรกิจในปัจจุบัน เล่าให้ฟังว่า Copper สาขาแรกเกิดขึ้นที่ศูนย์การค้า The Sense ปิ่นเกล้าเลย ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2559 

“ตอนนั้นคุณพ่ออยากหาไอเดียเพิ่มแม็กเน็ตให้กับ The sense ดึงทราฟฟิก ด้วยการเปิดร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ขึ้นมา ซึ่งก็มาจากแพชชั่นของครัวครัวอยู่แล้วที่ชอบทานอาหารที่โรงแรม และร้านอาหารญี่ปุ่น ก็เลยตั้งใจที่จะเอาทั้งสองความชอบเข้าด้วยกัน และทำให้ร้านอาหาร Copper เป็นประสบการณ์ใหม่ของคนที่ชอบทานบุฟเฟ่ต์เหมือนกัน”

“เป็นการแก้ pain point ให้กับย่านปิ่นเกล้าด้วย เพราะในยุคนั้นยังไม่มีร้านอาหารบุฟเฟต์พรีเมียมเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคเลย”

[ อยากดึงลูกค้า จัดหนักจัดเต็ม จนธุรกิจขาดทุน 9 เดือนติด ]

จากครอบครัวที่เรื่องการทำธุรกิจร้านอาหารเป็น ‘ศูนย์’ คิดง่ายๆ ว่าอยากทำร้านอาหารที่พรีเมียม เอาใจลูกค้าใหม่ๆ หวังมัดใจลูกค้าด้วย ‘วัตถุดิบ, คุณภาพการบริการ, และร้านดีไซน์สวยๆ’ ซึ่งสาขาแรกลงทุนไปกว่า 200 ล้านบาท

กลายเป็นว่า ชุดความคิดเบื้องต้นที่เล่ามา ทำให้ Copper ในยุคนั้น ‘ขาดทุนหนัก’ กว่า 9 เดือนติดในปีแรก

“เราขาดทุนทุกเดือน ที่หนักสุดก็คือ ขาดทุนเดือนละล้าน แต่เราไม่ท้อ เพราะคุณพ่อวางเป้าหมายชัดเจนว่า ต้องการเปิดร้านเพื่อดึงทราฟฟิกลูกค้าเข้าศูนย์การค้าก่อน นี่เป็น priority แรกสำคัญที่สุด”

“เราใช้งบไปกับการตลาด การจัดอีเวนต์ กว่า 2 ปี หลังจากนั้นก็ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงขึ้นมา เน้นสะสมคอนเนกชั่นไปเรื่อยๆ และเพิ่มฐานลูกค้าทีละน้อย จากช่วงแรกๆ มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการต่อเดือน ประมาณ 6,000-8,000 คน ซึ่งตอนนั้นเรายังขาดทุนสะสมอยู่”

“ฐานลูกค้ากว้างขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้จำนวนลูกค้าต่อเดือน ราวๆ 15,000 คนแล้ว ก็คือ ปีหนึ่งเรามีลูกค้า 2 สาขารวมกันอยู่ที่ 480,000 คนต่อปี วางเป้าอยากจะเพิ่มเป็น 500,000 คนต่อปีให้ได้”

“เรามี Economies of Scale สามารถบริหารต้นทุนวัตถุดิบได้ดีขึ้น และมีพาร์ทเนอร์ที่เข้ามาสนับสนุนมากขึ้น”

ณ ปัจจุบัน พาร์ทเนอร์ธุรกิจที่สำคัญๆ ของ Copper อย่างเช่น Hungry Hub, บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท เบทาโกรเกษตรอุตสาหกรรม, บริษัท สก๊อต อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) และ บริษัท ทิพย์ธารี จำกัด (ชาตรามือ)

[ ขยายสาขา โลเคชั่นต้องมีทราฟฟิกทั้งคนไทย-ต่างชาติ ]

กว่า 2 เดือนแล้วที่ Copper เปิดสาขาที่ 2 ณ ‘เกษรอัมรินทร์’ ซึ่งเป็นการขยายสาขาครั้งแรกในรอบ 8 ปี ด้วยความตั้งใจที่จะพา Copper เจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติมากขึ้น

‘พจนีย์’ กล่าวว่า การจะขยายสาขาของบ Copper ยังมองเป็นโลเคชั่นในกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งเพราะต้องการควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบและการบริการ ซึ่งสาขา 2 เป็นโลเคชั่นที่ถูกใจ พื้นที่ใหญ่เกิน 1,200 ตารางเมตร และมีทั้งคนไทยและต่างชาติผ่านไปมาตลอด

“ในใจมีแพลนมองๆ สาขาที่ 3 เหมือนกัน แต่ยังคงเป็นสาขาในกรุงเทพฯ ยังไม่มีแพลนออกต่างจังหวัดเร็วๆ นี้ค่ะ”

ปัจจุบัน Copper ทั้ง 2 สาขารายได้รวมกันอยู่ที่ 800 ล้านบาท กำไรประมาณ 10% มีอัตราการจองอยู่ที่ 70% และมีสัดส่วนลูกค้าคนไทย 65% และต่างชาติ 35%

เป้าหมายใหญ่ที่สุดของ Copper เวลานี้ก็คือ การเป็นร้านอาหาร ‘Best International Buffet in Southeast Asia’ ให้ได้ ด้วยคุณภาพของรสชาติอาหาร, วัตถุดิบต่างๆ ที่รังสรรค์ออกมากว่า 100 เมนูในร้าน

โดยมี 2 เชฟมิชลินชื่อดัง อย่าง ‘เชฟไฮเคิล โจฮาริ’ จากร้าน AVANT และ ‘เชฟแท็ป ศุภสิทธิ์ ก๊กผล’ จากร้าน CODA Bangkok มาร่วมสร้างสรรค์เมนูพิเศษกว่า 20 เมนู

‘พจนีย์’ ตั้งเป้าหมายไว้ว่า กลยุทธ์ต่างๆ ทั้งการขยายสาขา, การ collaboration, การคัดสรรวัตถุดิบสด ๆให้กับลูกค้า รวมไปถึงการต่อยอดข้อมูลอินไซต์หลังบ้าน จะทำให้เป้ารายได้ของ Copper เติบโตแตะ 1,000 ล้านบาทได้ภายในปี 2568

แม้ว่าธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะบุฟเฟ่ต์ในไทยจะเป็น red ocean มานาน แต่สำหรับ Copper ที่มองตัวเองเป็น ‘แมส พรีเมียม’ อาจจะยังไม่มีคู่แข่งโดยตรง และเป็นคนละกลุ่มกับฐานลูกค้าในโรงแรม แต่ด้วยการวางกลยุทธ์ การรอจังหวะที่จะก้าวไปข้างหน้า หรือการพิจารณาพาร์ทเนอร์ธุรกิจที่ให้ประโยชน์ win-win ทั้งคู่ ถือเป็นธุรกิจร้านอาหารที่น่าจับตาอีกแบรนด์หนึ่งในเวลานี้