Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

สำเร็จเคสแรกของโลก ทีมแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี ประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์อย่างเร่งด่วนจากผู้บริจาคไขกระดูกวัย 5 ขวบ ขณะติดเชื้อโควิด-19 เพื่อรักษาเด็กหญิงที่โรคธาลัสซีเมียตั้งแต่กำเนิด วันย 7 ขวบ ทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน
วันที่ 24 มิ.ย.2563 วานนี้คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมด้วย มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แถลงข่าวความสำเร็จของทีมแพทย์ในการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์อย่างเร่งด่วนเคสแรกของโลกจากเด็กชายศิลา บุญกล่อมจิตร (น้องจีโอ้) ผู้บริจาคไขกระดูกวัย 5 ขวบ ขณะติดเชื้อโควิด-19 เพื่อรักษา เด็กหญิงจินตนาการ บุญกล่อมจิตร (น้องจีน) พี่สาววัย 7 ขวบ ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่กำเนิด

รศ.นพ.อุษณรัสมิ์ อนุรัฐพันธ์ แพทย์ผู้ดำเนินการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด l ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในเด็ก

ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในเด็ก อาจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า เคสนี้มีความท้าทายและซับซ้อนเป็นอย่างมาก ในวันที่เราจะต้องเก็บสเต็มเซลล์น้องจีโอ้ กลับตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 น้องจีโอ้จึงอยู่ในฐานะผู้ป่วยอีกคน อีกทั้งผู้ป่วยสองคนยังอายุน้อยด้วยกันทั้งคู่ ทุกขั้นตอนจึงต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ การจัดเก็บสเต็มเซลล์จากไขกระดูกจึงมีความเสี่ยงหลายด้านไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงของสเต็มเซลล์ที่ได้จะมีเชื้อโควิด-19 รวมถึงขั้นตอนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากน้องจีโอ้ต้องถูกกักโรคและส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ ที่เป็นศูนย์ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในขณะที่น้องจีนยังคงรักษาตัวอยู่ และความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องรับมือกับความเสี่ยงขณะปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย ซึ่งเคสนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในโลก สำหรับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์อย่างเร่งด่วนจากผู้ป่วยโควิด-19 นอกจากความเสี่ยงของเชื้อโควิด-19 แล้ว การทำงานของคณะแพทย์ยังต้องแข่งกับเวลา เนื่องจากน้องจีนได้เข้ากระบวนการเตรียมความพร้อมของร่างกายด้วยการรับเคมีบำบัดหรือคีโมจนครบเรียบร้อยแล้ว ร่างกายจึงมีภูมิคุ้มกันต่ำและเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ในเวลานั้น

น้องจีโอ้ อายุ 5 ขวบ และน้อนจีน อายุ 7 ขวบ

ขณะที่รศ.นพ.อุษณรัสมิ์ อนุรัฐพันธ์ แพทย์ผู้ดำเนินการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด อาจารย์สาขาวิชาโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าสว่า โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นโรคโลหิตจางทางพันธุกรรม โดยประชากรไทยมีพาหะของโรคหรือสามารถเพาะโรคได้ประมาณร้อยละ 40 และมีผู้ป่วยโรคนี้ถึงขั้นรุนแรงและต้องรักษาเพิ่มเติมประมาณ 1 แสนราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากไขกระดูกของบุคคลอื่น  โดยทั้งผู้ให้และผู้รับต้องมีความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อโดยสมบูรณ์ 100% สำหรับเคสน้องจีน ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการจะหาสเต็มเซลล์ที่เข้ากันได้ในผู้บริจาคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางพันธุกรรมมีน้อยมาก คิดเป็นอัตราส่วน 1 ใน 20,000-50,000 ราย ซึ่งต้องใช้เวลา ส่วนการตัดต่อยีนส์ไม่สามารถทำได้  ดังนั้นสเต็มเซลล์ของน้องจีโอ้จึงเป็นความหวังเดียว
รศ.นพ.อุษณรัสมิ์ เล่าวว่า ก่อนเก็บสเต็มเซลล์ได้มีการตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 ซึ่งจากประวัติก็พบว่าไม่มีความเสี่ยง แต่เมื่อตรวจด้วยวิธี RT-PCR ผลออกมาเป็นบวก และวันต่อมาก็ต้องปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ให้น้องจีน ซึ่งได้รับยาเคมีบำบัดขนาดสูงไปแล้วนั้น อาจจะทำให้เกิดภาวะไขกระดูกฝ่อ และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ โดยเฉพาะการติดเชื้อ จึงได้มีการประชุมกับทีมแพทย์โรงพยาบาลทันทีกว่า 4 ชั่วโมง จากนั้นมีมติคือ ต้องดำเนินการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากน้องจีโอ้ไปยังน้องจีนตามแผน  แต่น้องจีโอ้จะต้องถูกย้ายตัวไปกักโรคและรักษายัง โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ ที่เป็นศูนย์ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อถึงยังโรงพยาบาลทีมแพทย์ก็ต้องสวมชุด PPE ในการดำเนินการผ่าตัดเจาะไขกระดูก ประมาณกว่า 1 ชั่วโมง และนำกลับมาตรวจอีกครั้ง เพราะคนไข้ที่เป็นโควิด-19 จะติดเชื้อในกระแสเลือดร้อยละ 10  ซึ่งผลออกมาพบว่าไขกระดูกไม่มีการติดเชื้อทำให้การรักษาปลูกถ่ายให้น้องจีนยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีง่ายขึ้น จากนั้นก็ตรวจเช็คเป็นระยะกว่า 10 วัน ก็สามารถกลับบ้านได้  จึงไม่เพียงเป็นความน่ายินดีที่เราสามารถช่วยชีวิตคู่พี่น้องได้อย่างปลอดภัย แต่นี่ยังถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญในการรักษาผู้ป่วยที่น่าภาคภูมิใจของการแพทย์ไทยอีกด้วย

ปัจจุบันผลการตรวจเนื้อเยื่อของน้องจีนและน้องจีโอ้เข้ากันได้และกลับไปอยู่บ้านได้แล้วโดยคุณแม่ได้เขียนบันทึกเพื่อบอกเล่าเรื่องราวผ่านเพจเฟซบุ๊ก ศิลากับจินตนาการ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.63 ได้เขียนบันทึกไว้ว่า เช้าวันนี้ จีน มารพ.เพื่อตรวจค่าเลือด และทำความสะอาดเช็ดแผลที่หน้าอก.และรอพบคุณหมอ เกล็ดเลือด ขึ้นมาเป็น 105,000(ปกติคนเราจะมีจำนวนเกล็ดเลือดอยู่ที่ประมาณ 150,000-450,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร) เม็ดเลือดขาว. 3500(ในคนปกติจะอยู่ที่ 4,000-11,000 เซลล์/มิลลิลิตร) ค่าความเข้มข้นเลือด 31 อาจารย์หมอสามารถ บอกว่าค่าเลือดดีมากส่วนบริเวณผิวหน้าผิวหนัง ข้อพับต่างๆที่หมองคล้ำดำๆ เกิดจากการทานยากดภูมิ เป็นเรื่องปกติ เมื่อหยุดยากดภูมิ ผิวพรรณก็จะกลับมาใสเหมือนเดิมปกติวันนี้ จีโอ้ ตื่นตั้งแต่ตี5ครึ่ง บอกพ่อกับแม่ว่าจะมารพ. เป็นเพื่อนพี่จีนด้วย มารอตั้งแต่7:30-11:30 ถึงเสร็จ ไม่งอแง

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า