“คูปองแบ่งปันความอิ่ม” คนมีจ่ายให้ คนลำบากกินฟรี สู้วิกฤตโควิด-19

เปิดแนวคิด “โรงทานยุคโควิด” ไม่ต้องทำอาหารเอง แต่ก็ทำบุญได้ ถึงมือคนที่กำลังลำบากตัวจริง แถมช่วยพ่อค้าแม่ค้าให้ยิ้มได้

ทีมข่าว Workpoint News ได้โอกาสสัมภาษณ์ “เพนนี” เภสัชกรจิตอาสา ที่ริเริ่มโครงการ #แบ่งปันความอิ่ม ในชุมชนสถานีบางซื่อ เธอเล่าถึงจุดเริ่มต้นโครงการว่า มาจากโพสต์หนึ่งในเฟซบุ๊ก โดยก็ไม่รู้จักเจ้าของโพสต์ดังกล่าว และไม่รู้ที่มาที่ไปว่าใครเป็นคนต้นเรื่อง แต่ด้วยรูปแบบของการช่วยเหลือแบ่งปัน เป็นการซื้ออาหารจากร้านค้าที่เปิดขายอยู่แล้ว ทำเป็นคูปอง ส่งต่อให้กับคนไร้บ้านในชุมชนสถานีบางซื่อ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากละแวก จึงตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมนี้

“ปัญหาของการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 ผู้ที่ได้รับกระทบหลักๆ คือ คนมีรายได้เป็นรายวัน โดนเลิกจ้าง ไม่มีเงินซื้ออาหาร”

“แม่ค้าที่ขายของ ในเมื่อคนไม่มีเงินซื้อเขาก็ไม่รู้จะขายใคร เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บางเจ้าก็ปิด บางเจ้าก็ไปไม่ไหว ทำให้กลายเป็นคนตกงานไปกันหมด”

“เพนนี” ตัดสินใจลงมือเข้าร่วมกิจกรรมนี้ ด้วยการ เริ่มรวมเงินทุนบริจาค ส่วนหนึ่งมาจากเงินของตนเอง ที่ทำอาชีพเภสัชกร อีกส่วนหนึ่งมาจากการบริจาคของเพื่อนๆในเฟซบุ๊กผ่านบัญชีของตนเอง เพราะโดยปกติแล้วเป็นคนชอบทำโรงทานอยู่แล้ว

แต่การมอบอาหารให้คนไร้บ้านในรูปแบบนี้ คือ “โรงทานในยุคโควิด” โรงทานที่ไม่ต้องทำอาหารเอง ไม่ต้องตั้งโรงทานเอง แต่เรานำเงินที่ได้รับบริจาคไปซื้ออาหารตามร้านข้างทางในพื้นที่ ร้านค้ามีคนมาซื้อของ คนไร้บ้านก็ได้อาหารจากเรา

ยกตัวอย่าง “เราไปร้านข้าวเหนียวหมูทอด จะถามราคาจากแม่ค้าว่าชุดละเท่าไหร่ เช่น ข้าวเหนียวหมูทอด ราคาชุดละ 40 บาท เราก็จะแจ้งแม่ค้าว่า เราซื้อข้าวเหนียวหมูทอด 20 ชุด รวมเป็นเงิน 800 บาท เราจ่ายเงินค่าอาหารให้แม่ค้า”

แต่ไม่เอาข้าวเหนียวหมูทอดกลับบ้าน พร้อมให้แบบฟอร์มคูปองของโครงการ โดยเขียนชื่อไว้ว่าซื้อข้าวเหนียวหมูทอดไว้แล้ว 20 ชุด ให้แม่ค้าที่ร้านนั้นๆ เป็นคนคัดเลือกว่าจะให้กับใคร เราคิดว่า แม่ค้าเป็นคนในพื้นที่แม่ค้าจะรู้ว่าใครลำบากหรือไม่มีเงินจริงๆ

คูปองที่ใช้ในโครงการมี 20 ใบ อาหาร 1 ชุด เท่ากับคูปอง 1 ใบ เมื่อแม่ค้ามอบอาหารให้ 1 คน ก็เท่ากับว่าเราได้ซื้ออาหารให้ไปแล้ว 1 ชุด

เพนนี เล่าด้วยว่า การใช้วิธีนี้ยังช่วยเป็นสะพานบุญให้กับคนที่อยากแบ่งปันผู้อื่นเหมือนเราด้วย เพราะมีลูกค้าคนอื่นๆ ที่มาซื้ออาหารแล้วพบกับคูปองที่ติดไว้หน้าร้านและสนใจ แม่ค้าก็จะบอกต่อ หากลูกค้าคนอื่นๆ อยากร่วมบริจาค ก็จะทำเช่นเดียวกับเรา

“เขาซื้อข้าวเหนียวหมูทอดไว้ 2 ชุด ชุดหนึ่งเอากลับบ้าน ส่วนอีกชุดหนึ่งบริจาคไว้ พร้อมเขียนชื่อลงบนคูปองเพื่อบริจาค คล้ายๆกับโครงการที่มีในประเทศอิตาลีที่ซื้อกาแฟ 2 แก้ว แต่นำกลับบ้านเพียง 1 แก้ว อีก 1 แก้วคือบริจาค”

โครงการส่งต่อการแบ่งปันนี้ ทำมาแล้ว 2 รอบ รวมประมาณกว่า 10 ร้านค้า มีทั้งร้านอาหารตามสั่ง ร้านข้าวราดแกง และร้านน้ำ รอบต่อไปจะเดินทางไปบริเวณตลาดบางซื่อ ในวันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคมนี้

เพนนี อธิบายสำหรับ คนที่สนใจอยากจะทำโครงการนี้ ว่า จุดเริ่มต้นให้นึกถึงร้านอาหารแถวบ้านว่ามีร้านอะไรบ้าง แม่ค้าแถวบ้าน เขาจะรู้อยู่แล้วว่า ตรงนั้นมีคนไร้บ้านเยอะ หรือมีคนเก็บขยะเยอะ จากนั้นเราก็ปริ้นคูปองและเตรียมเงินสดให้เรียบร้อย สามารถลงพื้นที่ได้เลย เราต้องอธิบายให้แม่ค้าเข้าใจว่าจุดประสงค์ของโครงการเรา ซึ่งส่วนใหญ่ 90% แม่ค้าจะเข้าใจและดีใจที่มีคนมาช่วยอุดหนุน

“ดีใจที่ได้เป็นสะพานบุญให้กับเพื่อนๆที่ฝากเงินมาร่วมทำบุญ และรู้สึกดีใจกับแม่ค้าที่อยู่บริเวณนั้น ที่มีรายได้ ไม่ขาดรายได้ ถึงแม้จะแค่วันเดียวก็ตาม เพื่อให้วันต่อๆ ไป เขาได้มีกำลังใจ ในการที่จะทำบุญหรือขายของ ส่วนตัวแล้วรู้สึกดีใจกับคนที่ได้รับอาหารฟรีทุกคน และดีใจกับเพื่อนๆที่ได้ร่วมทำบุญทุกคน”

“ร้านอาหารบางร้านที่เป็น พ่อค้า แม่ค้า คนขาย เจ้าของร้านแก่ๆ เป็นคุณยาย คุณตาที่เขาอวยพรก็รู้สึกตื้นตันใจ แม้เราจะได้ช่วยเขาซื้อของ แต่เขาก็ได้ช่วยทำบุญ ให้เราด้วย เหมือนเป็นสะพานบุญต่อกัน”

เพนนี กล่าวทิ้งท้ายว่า ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทุกคนมีความลำบากไม่เหมือนกัน อาจจะมีคนที่ลำบากกว่าเรามาก อยากให้บริจาคกับคนที่เขาไม่มีจริงๆ ให้เขาได้รับกับมือจริงๆ ไม่ได้ให้กับคนที่เขามีเหลือกินเหลือใช้แล้ว และให้ในสถานที่ที่มั่นใจว่าเขาจะนำไปให้กับคนที่ไม่มีจริงๆ ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นได้จากตัวเราเอง อย่างโครงการนี้เริ่มต้นง่ายๆจากร้านอาหารแถวบ้านตัวเอง ถ้าหากทุกคนช่วยกันคนละเล็กคนละน้อย ก็จะสามารถผ่านสถานการณ์ตรงนี้ไปได้เช่นกัน