ลุ้นสัปดาห์หน้า ศบค.ชงนายกฯ ออกมาตรการผ่อนปรนล็อกดาวน์

นพ.ทวีศิลป์ เผยยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไทยดีขึ้นต่อเนื่อง รักษาหายเพิ่มขึ้น ศบค.เตรียมชงนายกฯ ออกมาตรการผ่อนปรนกึ่งล็อกดาวน์ เปิดร้านตัดผม เปิดห้างตามเงื่อนไข มีความชัดเจนสัปดาห์หน้า
.
วันที่ 17 เม.ย.2563 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 หรือ ศบค. กล่าวถึงสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายคนเริ่มพูดถึงการผ่อนปรนมาตการต่างๆ ว่า คณะกรรมการ ศบค.ชุดเล็กได้หารือกันในเรื่องนี้เพื่อผ่อนปรนในบางสถานที่ ซึ่งคาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนว่าจะผ่อนคลายมาตรการใดบ้าง แม้จะผ่อนคลายแต่พฤติกรรมยังต้องเหมือนเดิม คือต้องมี New Normal เช่น การใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ทั้งหมดอยู่ที่ประชาชนทุกคนที่จะต้องร่วมมือกัน
.
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก หรือ WHO แนะนำ 6 ข้อ หากจะยกเลิกล็อกดาวน์ คือ
.
1. จะต้องควบคุมการแพร่ระบาดโรคภายในประเทศ ส่วนของไทยควรต้องเป็นศูนย์หรือไม่
.
2.ระบบสาธารณสุขต้องตรวจหาผู้ตคิดเชื้อ แยกและการสอบสวนโรคได้ดีหรือไม่
.
3. ความเสี่ยงระดับมากสุดน้อยที่สุด เข่น บ้านพักคนชรา
.
4.โรงเรียนสำนักงาน สถานที่สาธารณะต่างต้องป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ
.
5.การจัดการความเสี่ยงของผู้ที่เดินทางเข้ามาภายในปะเทศ เราไมได้ปิดน่านฟ้า แต่เรียกว่าแง้มน่านฟ้า และกรณีที่คนไทยกลับจากศาสนกิจและตรวจหาเชื้อ
.
6. คนในชุมชนต้องมีความรู้และมีส่วนร่วมและได้รับการสนับสนุนให้มีชีวิตอยู่อยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงหลังการเกิดโรค

โฆษก ศบค. ยกตัวอย่างเงื่อนไขมาตรการผ่อนปรนในบางพื้นที่เช่น การเปิดร้านตัดผม จะต้องมีมาตรการ จัดที่นั่ง ที่นอนสระผมห่าง 1 เมตร ให้ใช้บัตรคิวแทนนั่งรอในร้าน ให้บริการแค่ตัดผม สระผมเท่านั้น ให้บริการเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง คุมทั้งสถานที่ พนักงาน การทำความสะอาด สวมหน้ากากอนามัย เป็นต้น
.
การเปิดห้างสรรพสินค้า เช่น ใส่หน้ากากผ้าตลอดเวลาที่อยู่ในห้าง จำกัดปริมาณคนไม่เกิน 1 คนต่อตารางเมตร ทยอยเปิดร้านที่จำเป็นเช่น ร้านขายโทรศัพท์ ธนาคาร เครื่องใช้ไฟฟ้า และไม่มีกิจกรรมโปรโมชั่น นาทีทองที่คนรวมกลุ่มจำนวนมาก ส่วนร้านอาหารให้จัดที่นั่งห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร หรือให้เฉพาะซื้อกลับบ้าน

สำหรับสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 วันนี้มีผู้รักษาหายกลับบ้านแล้วรวม 1,689 คน (รักษาหายเพิ่ม 96 คน) ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล 964 คน (ลดลง 69 คน) มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 คน รวมผู้เสียชีวิต 47 คน