วิโรจน์ ชี้ประกาศชนะโควิดแต่เอา ปชช.เป็นเครื่องเซ่น แนะรัฐบาลใช้งบเน้นช่วยคน-ธุรกิจเล็กก่อน

วันที่ 27 พ.ค. ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณา พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินแก้ไขโควิด 1 ล้านล้านบาท นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ที่รัฐบาลประกาศว่าประเทศไทยชนะ เราชนะจริงหรือไม่ และมีประชาชนรวมอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ ถ้าประชาชนชนะ ทำไมถึงมีการต่อแถวร้องทุกข์อย่างสิ้นหวังที่กระทรวงการคลัง นี่เป็นชัยชนะที่เป็นการเอาประชาชนมาเป็นเครื่องเซ่น เอาธุรกิจขนาดเล็กมาเป็นเครื่องสังเวยหรือไม่

การมองว่าโควิดเป็นโรคหวัดโรคหนึ่ง ประเมินสถานการณ์ผิดตั้งแต่แรก ปล่อยให้มีการจัดมวย 6 มี.ค. กว่าจะมีมาตรการควบคุมการเข้าประเทศจากกลุ่มเสี่ยงก็ปาไปวันที่ 11 มี.ค. ซึ่งวันนั้นสายเกินไปแล้ว นี่คือการตามเก็บแก้ปัญหาจากความประมาทเลินเล่อ ดังนั้น อย่าพูดคำว่าชนะให้แสลงหูประชาชนอีกเลย

“เราไม่ทิ้งกัน” ส่วนพวกมันก็ทิ้งไป ประชาชนเป็นผู้พ่ายแพ้และกำลังจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การช่วยเหลือนายทุนดำเนินการอย่างรวดเร็ว แต่ประชาชนต้องรอไปก่อน เช่น กรณีค่าเช่าผู้ประกอบการธุรกิจสนามบิน ที่มีมาตรการตั้งแต่ ก.พ. แต่มีมาตรการเยียวยาประชาชน 24 มี.ค.

รัฐบาลรับปากว่า ถ้าคุณสมบัติครบจะได้เงินเยียวยาภายใน 5 วัน แต่ก็แจ้งใหม่ว่า 7 วัน และกว่าจะรู้ว่าถูกตัดสิทธิ์คือ 11-12 เม.ย. และขยายเวลาไปอีกหลายครั้ง นับจากวันที่ 24 มี.ค. รวมเวลา 54 วัน

สำหรับการออก พ.ร.ก.กู้เงิน ถ้ารัฐบาลทำงานเป็น พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับ ต้องสอดคล้องกับ ร่าง พ.ร.บ. โอนงบประมาณปี 2563 และ พ.ร.บ.งบประมาณ 2564 แต่รัฐบาลไม่เกลี่ยก่อนกู้ แต่กู้ลูกเดียว และงบจัดซื้ออาวุธก็ยังคงบรรจุไว้ในงบ 2564 ต่อไป

นายวิโรจน์ ยังเสนอแนวทางการใช้งบประมาณที่สอดคล้องกับเป้าหมายการจัดการโควิด ผ่าน 4H 3E คือ Health ด้านสาธารณสุข 4 ด้าน ควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อ, ตั้งเป้าผู้เสียชีวิตเป็นศูนย์, บุคลากรทางการแพทย์ได้รับความคุ้มครอง, วัคซีนฟรีสำหรับทุกคน Econmy ด้านเศรษฐกิจ 3 ด้าน คือ ไม่มีคนอดตาย, ไม่มีคนตกงาน และ SMEs ไม่ล้ม

เขาย้ำด้วยว่า การแก้ปัญหาไม่ใช่การใช้อำนาจ แต่ใช้การวางแผนและการจัดการภายใต้การคิดถึงประชาชนอย่างรอบคอบ

ข้อเสนอการใช้งบประมาณเสนอให้นำ 400,000 ล้าน ใน 1 ล้านล้านที่ไว้ใช้ฟื้นฟูมาเยียวยาประชาชนและทำด้านสาธารณสุขก่อน โดยใช้ทั้ง 1 ล้านล้าน+พ.ร.บ.โยกงบประมาณ 88,000 ล้านบาท ไปเป็นงบ เยียวยา 988,000 ล้านบาท และสาธารณสุข 100,000 ล้านบาท

ส่วนที่นอกเหนือจากการเยียวยาผู้ประกอบอาชีพอิสระและเกษตรกรไปแล้ว ให้เป็นการเยียวยาประชาชนถ้วนหน้าคนละ 3,000 บาท 3 เดือน ยกเว้นข้าราชการ เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ได้ คนละ 1,000 บาท ใช้งบประมาณรวม 504,000 ล้านบาท

นอกจากนั้นให้สมทบค่าจ้าง SMEs 50% ไม่เกิน 5 พันบาท/คน 3 เดือน เฉพาะคนที่เงินเดือนไม่เกิน 30,000 บาท โดยมีเงื่อนไขห้ามเลิกจ้าง 3 เดือน ใช้งบประมาณ 120,000 ล้านบาท และจัดเป็นงบจัดสรรอาหารฟรีให้ประชาชน 19,000 ล้านบาท

ส่วนด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ออกเป็น พ.ร.บ.ฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างจริงจังแยกออกไป โดยเน้นการสร้างงาน พิทักษ์งาน จ้างงาน ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนที่ดีขึ้นกว่าเดิม และสอดรับกับความท้าทายใหม่ เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ รถยนต์ไฟฟ้า โดยจัดให้สอดคล้องกับงบประมาณปี 2564 และปีต่อๆ ไป ให้พอกันทีกับการก่อหนี้ผูกพันในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์

นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า การจะลงมติ พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้าน อย่างไร อยู่ที่การที่รัฐบาลจะยอมให้มีการตั้ง กมธ.วิสามัญติดตามการใช้งบประมาณหรือไม่

ก่อนหน้านั้น นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายว่า ไทยจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดได้ดี ภายใต้ฝีมือการกำกับดูแลแก้ไขสถานการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่งเป็นฝีมือการบริหารจัดการที่เป็นระดับนำของโลก

การติดเชื้อต่ำเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่ได้ฝีมือการบริหารจัดการของนายกรัฐมนตรี แต่งานมีทั้งเรื่องการยุติการแพร่ระบาดและแก้ไขฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ที่เป็นสงครามครั้งใหญ่ของโลก ดังนั้น จึงต้องออก พ.ร.ก. 3 ฉบับ ซึ่งเชื่อว่าได้พิจารณาอย่างถ่องแท้และรัดกุมแล้ว ออกแบบมาอย่างรอบคอบ เพื่อเยียวยาได้ทันท่วงที

พรรคฝ่ายค้านจะมาคัดค้านได้อย่างไร เพราะประชาชนเขารอคอยความช่วยเหลืออยู่

วิโรจน์ ชี้ประกาศชนะโควิดแต่เอา ปชช.เป็นเครื่องเซ่น แนะรัฐบาลใช้งบเน้นช่วยคน-ธุรกิจเล็กก่อน

podcast

Spotify

Podbean

Youtube

Apple Podcasts