ประสิทธิภาพวัคซีน ‘ไฟเซอร์’ ลดลง 41 เท่า เมื่อเจอ ‘โอไมครอน’ คาดฉีดเข็มสามยังช่วยกระตุ้นภูมิได้

ทีมนักวิทยาศาสตร์แอฟริกาใต้ ทดสอบวัคซีนไฟเซอร์กับโควิดสายพันธุ์โอไมครอน พบประสิทธิภาพลดลง 41 เท่าเมื่อเทียบกับเชื้อดั้งเดิม แต่นักวิทยาศาสตร์ชี้อาจมีข่าวดีที่สายพันธุ์โอไมครอนหลบภูมิไม่สมบูรณ์ วัคซีนที่มีอยู่ยังใช้งานได้ ควรฉีดเข็มกระตุ้น

วันที่ 8 ธ.ค. 2564 เว็บไซต์ CNBC รายงานอ้างผลการวิจัยเบื้องต้นจากแอฟริกาใต้ ที่ทำการทดลองโดยใช้ตัวอย่างเลือดของอาสาสมัคร 12 คนที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครบโดส เพื่อทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ (Pfizer) ต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน

ผลการทดลองเบื้องต้นพบว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์ลดลงถึง 41 เท่า เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม ขณะเดียวกันยังพบว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน มีฤทธิ์หลบภูมิจากการฉีดวัคซีนเก่งกว่าสายพันธุ์เบตาอยู่ราว 5-10 เท่าตัว ซึ่งที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันว่า โควิดสายพันธุ์เบตามีฤทธิ์หลบภูมิเก่ง เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น

จากผลการทดลองทำให้ศาสตราจารย์อเล็กซ์ ซีกัล นักไวรัสวิทยาประจำสถาบันวิจัยสาธารณสุขแอฟริกา ซึ่งเป็นผู้นำทีมวิจัยนี้สันนิษฐานว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนน่าจะมีฤทธิ์ทั้งแพร่เชื้อเร็วและหลบภูมิคุ้มกันได้เก่งกว่า

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยพบข้อมูลที่อาจเป็นข่าวดี เนื่องจากไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนยังคงใช้ตัวจับกับเซลล์มนุษย์บริเวณโปรตีนหนาม (receptor) แบบเดียวกับโควิดสายพันธุ์ก่อนหน้า ซึ่งศาสตราจารย์ซีกัลระบุว่า นี่อาจทำให้โควิดสายพันธุ์โอไมครอนหลบภูมิจากการฉีดวัคซีนได้ไม่สมบูรณ์ และวัคซีนยังจัดการกับตัวจับของไวรัสได้อยู่

แม้การทดลองล่าสุดนี้จะเป็นการทดลองเบื้องต้น กับอาสาสมัครจำนวนน้อยมาก และยังต้องการข้อมูลการวิจัยอีกมาก แต่ทีมนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานจากข้อมูลทั้งหมดว่า ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดมาแล้วหรือคนที่รับวัคซีนกระตุ้น อาจมีความสามารถป้องกันเชื้อได้ ขณะเดียวกันก็มีนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกออกมาแสดงความยินดีต่อผลการศึกษาเบื้องต้นนี้ และมองไปในทางเดียวกันว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้นอาจมีส่วนช่วยป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้