สหรัฐฯ กลับมาใช้วัคซีนเข็มเดียว ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน แต่ต้องขึ้นคำเตือนเสี่ยงเลือดแข็งตัว

วันที่ 24 เมษายน 2564 เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ตัดสินใจยกเลิกการระงับใช้วัคซีนโควิด-19 ชนิดฉีดเข็มเดียวของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) แล้วเมื่อวานนี้ (23 เม.ย.) โดยจะส่งผลให้วัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กลับมาแจกจ่ายให้กับชาวอเมริกันได้ทันที หลังถูกระงับการใช้งานเพื่อตรวจสอบเป็นเวลา 11 วัน

การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งให้ตรวจสอบผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่พบว่ามีชาวอเมริกัน 15 รายมีอาการเลือดแข็งตัวหลังได้รับวัคซีนดังกล่าว โดยทั้งหมดเป็นผู้หญิง และส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 50 ปี โดยผลข้างเคียงทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน และกำลังรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก 7 คน

ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ ให้เหตุผลถึงการกลับมาใช้วัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน โดยยกสถิติมาเปรียบเทียบว่า ผลข้างเคียงหลังฉีดที่ทำให้มีอาการเลือดแข็งตัว เกิดขึ้นกับผู้หญิงอายุ 18-49 ปี ในสัดส่วน 7 ต่อ 1 ล้านราย ขณะที่ประสิทธิภาพของวัคซีนชนิดนี้ สามารถยับยั้งการติดเชื้อรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลได้กว่า 650 ต่อ 1 ล้านรายในผู้ได้รับวัคซีนกลุ่มเดียวกัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนความสำคัญของวัคซีนชนิดนี้

อย่างไรก็ตาม ทางการสหรัฐฯ บังคับให้จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะต้องเขียนกำกับถึงความเสี่ยงในอัตราที่ต่ำมากต่อการเกิดอาการเลือดแข็งตัว เพื่อเตือนผู้ได้รับวัคซีนให้ทราบถึงผลข้างเคียง

นอกจากสหรัฐฯ แล้ว หน่วยงานกำกับดูแลยาของสหภาพยุโรปเพิ่งยกเลิกคำสั่งระงับการฉีดวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เช่นเดียวกับวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ที่สหภาพยุโรปแนะนำให้ชาติสมาชิกกลับมาใช้ได้แล้ว เนื่องจากประเมินว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนในการต้านเชื้อโควิด-19 สำคัญกว่าผลข้างเคียงที่มีความเสี่ยงเกิดต่ำ