ครม.เคาะงบ 1,411 ล้านบาทยกระดับภูเก็ตเป็นฮับการแพทย์ พร้อมเห็นชอบหลักเกณฑ์ลดค่าใช้จ่ายโรคโควิด-19 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
วันที่ 1 มี.ค. 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ว่า ที่ประชุมเห็นชอบยกระดับการท่องเที่ยวเมืองภูเก็ตให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ วงเงิน 1,411.70 ล้านบาทเพื่อให้เกิดการจ้างงานการกระจายรายได้ รวมทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้เข้าถึงการแพทย์ที่มีคุณภาพมากขึ้น
ด้าน น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล แถลงว่า วันนี้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการปรับหลักเกณฑ์-วิธีการและเงื่อนไขกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเกี่ยวกับผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายหรือโควิด-19 เพื่อปรับหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยขอยืนยันว่าการปรับหลักเกณฑ์ครั้งนี้จะไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพและประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ทุกระดับอาการทั้งสีเขียว สีเหลือง และสีแดง
ลดค่าใช้จ่ายโควิด-19 ตรวจ ATK ไม่เกิน 250 บาทต่อครั้ง ค่าที่พักและอาหารแบบเหมาจ่าย
น.ส.รัชดา กล่าวว่าที่ต้องมีการปรับหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายเพราะอุปกรณ์ในการรักษาโควิด-19 บางตัวมีราคาที่ถูกลงมาก จึงต้องปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การปรับอัตราค่าตรวจวินิจฉัยแบบ Covid-19 Real-Time PCR 2 ยีนส์ (เหมาจ่าย) จากเดิม 1,300 บาท เมื่อมีการพัฒนาแล้ว ทำให้ราคาการตรวจลดลงมาก อัตราใหม่จึงลดเหลือ 900 บาท ให้สอดคล้องกับราคาจริง ส่วนชุดตรวจ ATK จะให้จ่ายตามจริงไม่เกิน 250 บาทต่อครั้ง ในกรณีที่สถานพยาบาลต่างๆ รับตรวจผู้ป่วย
ในส่วนของยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ได้รับผลกระทบเพราะสถานพยาบาลสามารถรับได้โดยตรงจากกระทรวงสาธารณสุข ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยสีเขียวจะเป็นการเหมาจ่าย ค่าบริการเหมาจ่ายสำหรับการดูแลให้บริการผู้ป่วยสีเขียวนั้นยังดูแลเต็มที่เหมือนเดิม คือ ครอบคลุมค่ายาพื้นฐาน, ค่าบริการพยาบาลทั่วไป, ค่าติดตามอาการ, ค่าให้คำปรึกษาของแพทย์ และค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ค่าอาหาร 3 มือ และค่าที่พักกรณี Home Isolation, Community Isolation และ Hotel Isolation รักษา 1-6 วันจะเหมาจ่าย 6,000 บาท กรณีรักษา 7 วันขึ้นไปเหมาะจ่าย 12,000 บาท รองโฆษกรัฐบาล ย้ำว่าการปรับเกณฑ์นี้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันไม่กระทบต่อการรักษาทุกระดับสี
ตัวอย่างการปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขมีดังนี้
1. ปรับปรุงหลักเกณฑ์โดยให้สถานพยาบาลได้รับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามระดับกลุ่มอาการของผู้ป่วย นับแต่รับหรือส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลอื่นตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ ฉบับนี้ และกำหนดให้ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยที่ปฏิเสธไม่ขอให้ส่งต่อ หรือกรณีผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วย ประสงค์จะไปรับการรักษาที่สถานพยาบาลอื่น ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง
2. การตรวจคัดกรองด้วยวิธี Real time PCR แบ่งเป็น 1) กรณี 2 ยีนส์ (เหมาจ่าย) ปรับลดเหลือ 900 บาท จากเดิม 1,300 บาท 2) กรณี 3 ยีนส์ (เหมาจ่าย) ปรับลดเหลือ 1,100 บาท จากเดิม 1,500 บาท
3. การตรวจคัดกรองด้วย ATK แบ่งเป็น 1) ATK วิธี Chromatographic immunoassay จ่ายตามจริงไม่เกิน 250 บาท/ครั้ง (จากเดิม 300บาท/ครั้ง) 2) ATK วิธี FIA จ่ายตามจริงไม่เกิน 350 บาท/ครั้ง (จากเดิม 400บาท/ครั้ง)
4. ปรับปรุงรายการและอัตราค่าบริการเหมาจ่ายสำหรับผู้ป่วยโควิด19 กลุ่มสีเขียว กรณี HI CI Hotel Isolation Hospitel โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม ให้เบิกได้เฉพาะค่ายาพื้นฐาน ค่าบริการพยาบาลทั่วไป ค่าติดตามอาการ ค่าให้คำปรึกษาของแพทย์ ค่า PPE ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ค่าอาหาร 3 มื้อ รวมถึงค่าที่พักเฉพาะกรณี HI Hospitel โรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนาม หากรักษาตั้งแต่วันที่ 1-6 วัน เหมาจ่าย 6,000 บาท กรณีรักษา 7 วันขึ้นไป เหมาจ่าย 12,000 บาท
5. ยา Favipiravir และ ยา Remdesivir ให้เบิกจ่ายจากกระทรวงสาธารณสุขโดยตรง
- ครม.เห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างไทย – อินเดีย
นอกจากนี้คณะรัฐมนตรี ยังมีมีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงการจัดทำความตกลง Air Travel Bubble ระหว่างไทย-อินเดีย
1. เห็นชอบการจัดทำความตกลง Air Travel Bubble ระหว่างไทย-อินเดีย
2. เห็นชอบร่างหนังสือตอบกลับของไทยต่อข้อเสนอของอินเดีย และอนุมัติผู้ลงนามฯ โดยมอบกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
สาระสำคัญ มีดังนี้
1. การรับขนผู้โดยสารบนเที่ยวบินระหว่างไทยและอินเดีย สามารถรับขนผู้มีสัญชาติไทย อินเดีย เนปาล ภูฏาน และผู้มีสัญชาติต่างประเทศอื่น ๆ ที่ถือวีช่าเดินทางเข้าประเทศไทยและอินเดีย โดยก่อนที่สายการบินจะออกบัตรโดยสาร/Boarding Pass ให้กับผู้โดยสาร สายการบินต้องมั่นใจว่าผู้โดยสารทุกคนมีคุณสมบัติที่สามารถเข้าประเทศได้
2. ผู้โดยสารที่เดินทางบนเที่ยวบินจะต้องเป็นการเดินทางระหว่างไทยและอินเดียเท่านั้น
3. สายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายจะได้รับอนุญาตให้ทำการบินไปยังจุดต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งอินเดียว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างอาณาเขตของแต่ละฝ่ายและพ้นจากนั้นไป
4. สายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายจะได้รับอนุญาตให้จำหน่ายบัตรโดยสารระหว่างอินเดียและไทยในแต่ละเส้นทางผ่านเว็บไชต์ ตัวแทนจำหน่ายและระบบสำรองที่นั่งผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Global Distribution Systems)
5. การทำการบินให้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในคู่มือการปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedures: SOP) ซึ่งออกโดยเจ้าหน้าที่การเดินอากาศ และแนวทางที่เกี่ยวกับโควิด-19 อื่น ๆ ซึ่งออกโดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ
6. กรมการบินพลเรือนอินเดียและสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจะอนุญาตการทำการบินเป็นรายเดือน และให้อนุญาตบนหลักการความเท่าเทียมของจำนวนที่นั่งโดยสายการบินจะยื่นขอรับการอนุญาตจากรัฐบาลที่เกี่ยวข้องตามคู่มือการปฏิบัติงาน
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด – 19 อินเดียได้ระงับเที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างประเทศตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 โดยอนุญาตเฉพาะเที่ยวบินอพยพหรือเที่ยวบินพาณิชย์ของประเทศที่ได้จัดทำความตกลง Air Travel Bubble กับอินเดียแล้ว ให้สามารถเดินทางเข้าอินเดียได้ ดังนั้น การจัดทำความตกลง Air Travel Bubble ระหว่างไทย – อินเดีย จะทำให้สายการบินของทั้งสองประเทศสามารถทำการบินรับขนผู้โดยสารในรูปแบบพาณิชย์ได้ โดยสายการบินและผู้โดยสารยังคงปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขในการเข้าประเทศของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นการช่วยให้สายการบินของไทยสามารถสร้างรายได้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด 19 นอกจากนี้ สายการบินสามารถรับขนนักท่องเที่ยวจากอินเดียมายังประเทศไทย อันเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
คลิกที่นี่ สรุปผลการประชุม ครม.ฉบับเต็ม