เริ่มวันนี้ สธ.นำร่องฉีด ‘ภูมิคุ้มกันโควิดสำเร็จรูป’ ให้ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง

สธ.นำร่องฉีด LAAB ภูมิคุ้มกันโควิดสำเร็จรูป ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง หลังภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป 7,000 โดส ส่งถึงไทย และจะทยอยส่งให้จนครบ 2.5 แสนโดส 

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป หรือ Long Acting Antibody (LAAB) ป้องกันโควิด-19 สำหรับผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไต ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะหรือไขกระดูกที่ได้รับยากดภูมิ ถูกส่งถึงประเทศไทยแล้วล็อตแรก 7,000 โดส เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา จากที่สั่งซื้อไป 2.5 แสนโดส ส่วนที่เหลือจะทยอยจัดส่งเข้ามาจนครบภายในปีนี้ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะทยอยกระจายส่งทั่วประเทศ เพื่อฉีดให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไต ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะหรือไขกระดูกที่ได้รับยากดภูมิ

วันนี้ (27 ก.ค. 2565) จะมีการฉีดนำร่องฉีดที่สถาบันบำราศนราดูรเป็นวันแรก โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกล่าวว่า การนำร่องการให้ LAAB แก่ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังเป็นวันแรก เพื่อสร้างความมั่นใจ โดยภูมิคุ้มกัน LAAB จะมีแอนติบอดี 2 ชนิดบรรจุมา 2 ขวด โดยจะฉีดเข้าที่สะโพกของผู้ป่วยพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง ซึ่งการฉีด 1 ครั้งประสิทธิผลในการป้องกันโควิดจะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน ยืนยันว่า LAAB มีความปลอดภัยและจะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อ อาการรุนแรง และการเสียชีวิตให้แก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน

กลุ่มเป้าหมายที่เสี่ยงสามารถติดต่อเข้ารับการฉีด LAAB ได้ที่สถานพยาบาลตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และกรุงเทพมหานครกำหนดไว้ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2565 เป็นต้นไป นอกจากนี้ บริษัทผู้ผลิตอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อขึ้นทะเบียนต่อ อย.ในการนำมาใช้ในการรักษาต่อไปด้วย

นายอนุทิน ยืนยันว่า บุคลากรทางการแพทย์มีความพร้อมในการใช้ภูมิคุ้มกันตามข้อบ่งชี้ เนื่องจากได้รับการอบรมทำความเข้าใจให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้ว และได้ขอความร่วมมือจากบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกท่านให้บริหารจัดการการฉีด LAAB โดยพิจารณาการฉีดให้เป็นไปด้วยความเสมอภาค และประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน รวมถึงสังเกตอาการภายหลังได้รับ LAAB ตามมาตรฐาน

รมว.สาธารณสุข ย้ำว่า ประชาชนทั่วไปขอให้เข้ามารับวัคซีนเข็มกระตุ้นตามกำหนด โดยสามารถฉีดได้ทุก 3-4 เดือน เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโควิดได้ เนื่องจากขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ BA.4/BA.5 ซึ่งจากการศึกษาของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า หลบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าสายพันธุ์ BA.2 จึงยังต้องมาฉีดวัคซีนร่วมกับการเข้มมาตรการป้องกันการติดเชื้อ คือ เว้นระยะห่าง ล้างมือ สวมหน้ากาก และตรวจ ATK เมื่อมีอาการ หรือมีความเสี่ยง