SHARE

คัดลอกแล้ว

สธ.คาดผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตมีแนวโน้มเริ่มลดลง ห่วงปรากฏการณ์ Rebound กินยาต้านไวรัสไม่เหมาะสมอาจเสี่ยงดื้อยา ขณะที่สถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระดับเริ่มคงตัว ผู้ติดเชื้อยังอยู่ในเกณฑ์ที่ระบบสาธารณสุขรองรับได้ ขณะที่ผู้ป่วยอาการหนักใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตคงตัว เริ่มมีแนวโน้มค่อยๆ ลดลงใน 2-3 สัปดาห์

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า การระบาดเป็นสายพันธุ์ BA.4/BA.5 ค่อนข้างดื้อต่อวัคซีน การฉีดเข็มกระตุ้นจะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยลดการป่วยอาการหนักและเสียชีวิตได้ หากฉีดเข็มล่าสุดมากกว่า 3-4 เดือนขึ้นไป สามารถไปฉีดเข็มกระตุ้นได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ศูนย์บริการสาธารณสุข ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ

ส่วนช่วงเดือนที่ผ่านมามีวันหยุดยาวหลายวัน มีประชาชนเดินทางกลับบ้านจำนวนมาก ต้องติดตามสถานการณ์ในต่างจังหวัดว่าจะมีการระบาดเพิ่มขึ้นหรือไม่ จึงขอให้ดำเนินการมาตรการ 2U คือ Universal prevention คือ มาตรการป้องกันตนเอง ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง และ Universal Vaccination โดยฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อลดความเสี่ยงการเสียชีวิต

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปหรือภูมิคุ้มกันออกฤทธิ์ชนิดยาว (Long Acting Antibody :LAAB) เหมาะกับประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่ดี โดย 1 กล่องมีภูมิคุ้มกัน 2 ชนิด บรรจุ 2 ขวด ฉีดพร้อมกันครั้งเดียวบริเวณสะโพก ฉีดแล้วมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคโดยตรง อยู่ได้นาน 6 เดือน ข้อบ่งใช้ คือใช้ป้องกันล่วงหน้าก่อนรับเชื้อสำหรับคนที่ร่างกายตอบสนองภูมิคุ้มกันไม่ดี หรือแพทย์ที่ดูแลคนไข้มองว่าควรรับ LAAB ถือเป็นเปิดกว้างให้เข้าถึงมากที่สุด เบื้องต้นใช้ในเด็ก 12 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่มีการฟอกเลือด ล้างไตหน้าท้อง และปลูกถ่ายไต เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการเสียชีวิตสูง รวมถึงคนปลูกถ่ายอวัยวะและรับยากดภูมิคุ้มกัน การบริหารจัดการ การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายขึ้นกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เบื้องต้นสัปดาห์นี้จะกระจายครบ 7 พันโดสไปทุกจังหวัด และจะเข้ามาจนครบ 2.5 แสนโดสต่อไป ถ้าเราเร่งฉีดจะลดการเสียชีวิตได้

สำหรับผู้ติดเชื้อโควิดไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสทุกราย ซึ่งคนทั่วไปที่แข็งแรงฉีดวัคซีนครบถ้วน ส่วนใหญ่จะอาการน้อยก็ไม่จำเป็นต้องรับยาต้านไวรัส ซึ่งการจ่ายยาขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ตามมาตรฐานสากล เนื่องจากเป็นผู้ซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการผู้ป่วยโดยตรง จึงเป็นผู้พิจารณาการเลือกยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยได้ดีที่สุด

นพ.โอภาส ระบุว่า ยาต้านไวรัสเป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง มีทั้งข้อดีข้อเสีย หากรับประทานไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม อาจเกิดผลข้างเคียงหรือการดื้อยาได้ ซึ่งขณะนี้เจอปรากฏการณ์ใหม่ คือการรีบาวนด์ (Rebound) เช่น กรณีนายโจไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่รับยาต้านไวรัสแต่กลับมาพบเชื้อใหม่ สมมติฐานคืออาจเกิดจากรับยาต้านไวรัสเข้าไป และยาไม่สามารถกำจัดเชื้อในร่างกายคนบางคนให้หมดไป พอหยุดยาเชื้อที่ซ่อนอยู่ก็กลับมาแบ่งตัวขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องติดตามรายละเอียดต่อไป

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า