แพทย์จุฬาฯ วิเคราะห์การกลายพันธุ์เชื้อโควิดพบเป็นไปตามวิวัฒนาการ ไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของโรค และไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทาน ดังนั้นวัคซีนที่ใช้อยู่ในขณะนี้จึงยังมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม
วันที่ 25 ธ.ค. 2563 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงพันฒนาการของไวรัสก่อโรคโควิด-19 ว่าเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ตามวิวัฒนาการ โดยจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนจะมี 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ S (Serine) และสายพันธุ์ L (Leucine) และเมื่อระบาดมาสู่นอกประเทศจีน สายพันธุ์ L แพร่กระจายได้ดีกว่าและแบ่งลูกหลานออกเป็นสายพันธุ์ G (Glycine) และสายพันธุ์ V (Valine)
เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ G มีวิวัฒนาการได้มากกว่า แพร่กระจายโรคได้มากกว่าจึงพบส่วนใหญ่ในขณะนี้ และได้แพร่กระจายลูกหลาน เป็นสายพันธุ์ GH (Histidine) GR (Arginine) และ GV (Valine) ขณะนี้สายพันธุ์ GV มีเป็นจำนวนมาก
การระบาดในประเทศอินเดีย
ส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์ GR แต่ก็มีสายพันธุ์ GH ได้แต่ น้อยกว่า ไม่พบการศึกษาสายพันธุ์ในประเทศเมียนมา แต่เข้าใจว่า
เมื่อระบาดที่ประเทศพม่าส่วนใหญ่จะเป็น GH เพราะสายพันธุ์ที่พบ จากคนไทยผ่านแดนมาจากเมียนมา ตรวจพบเป็นสายพันธุ์ GH ทำนองเดียวกันสายพันธุ์ที่สมุทรสาครก็เป็นสายพันธุ์ GH
ศ.นพ.ยง ระบุว่า นอกจากสายพันธุ์แล้วขณะนี้ที่พูดถึงกันมากถึงสายพันธุ์ของอังกฤษ และสายพันธุ์แอฟริกาใต้ คือ การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในบริเวณหนามแหลมหรือสไปรท์ (Spike) ที่ยื่นออกมาจากตัวไวรัส โดยเฉพาะส่วนที่จะมายึดติดกับเซลล์ของมนุษย์ ที่เรียกว่าตัวรับ หรือ ACE2 ในตำแหน่ง กรดอะมิโนที่ 501 โดยแต่เดิมแอสพาราจีนเปลี่ยนเป็นไทโรซีน (Y) และเข้าใจว่า จะทำให้การเกาะได้ดีขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงอีกตำแหน่งหนึ่งที่จะทำให้ระบบ enzyme ตัดส่วนสไปรท์ ให้ไวรัสเข้าเซลล์ได้ดีขึ้น รวมทั้งการศึกษาทางด้านระบาดวิทยา รายละเอียดทั้งหมดคงจะต้องรอการศึกษาในแนวลึกต่อไป
เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของโรค และไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทาน ดังนั้นวัคซีนที่ใช้อยู่ในขณะนี้จึงยังมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม
ที่มา :
https://www.facebook.com/yong.poovorawan/posts/5016289671746943