SHARE

คัดลอกแล้ว

‘อิศรา พุฒตาลศรี’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด กล่าวว่า อุตสาหกรรมกองทุนในปี 2566 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากภาวะการลงทุนที่ยังไม่ได้ฟื้นกลับมาอย่างเต็มที่

แม้ว่าจะดีขึ้นจากปี 2565 ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง แต่ก็ยังมีความกังวลจากเรื่องของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมถึงในช่วงปลายปีกรมสรรพากรได้ประกาศเรียกเก็บภาษีจากหุ้นต่างประเทศซึ่งมีผลในวันที่ 1 มกราคม 2567

ส่งผลให้กองทุนตราสารทุน (หุ้น) ในปีก่อนได้รับความนิยมน้อยลง มีการขายกองทุนออกมาค่อนข้างเยอะ  และนักลงทุนหันไปลงทุนในกองทุนประเภทตราสารหนี้มากขึ้น ทำให้ผู้จัดการกองทุนหันมาออกกองทุนประเภทตราสารหนี้เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า

ณ สิ้นปี 2566 บลจ.ดาโอ มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 200 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2567 มองว่าตลาดหุ้นน่าจะดีขึ้น เนื่องจากเฟดไม่น่ามีการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเพราะปรับขึ้นมาสูงมากแล้ว และคาดว่าน่าจะมีการปรับลดลงในปีนี้  

โดย บลจ.มีแพลนออกกองทุนใหม่ๆ หลังศึกษาตลาดเพิ่มเติมเเละเห็นการเติบโตที่น่าสนใจ เช่น ตลาดหุ้นอินเดีย ที่เห็นการเติบโตที่ดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่โควิด-19 สวนทางกับตลาดหุ้นอื่นๆ ที่ปรับลดลง 

รวมถึงความน่าสนใจจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนา ซึ่งเตรียมเสนอขายให้นักลงทุนในช่วงเดือน ก.พ.นี้ โดยตั้งเป้าขนาดกองทุนเริ่มต้นที่ระดับ 100 ล้านบาท 

นอกจากนี้ ยังมีตลาดหุ้นที่น่าสนใจอย่างตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่ บลจ.ยังไม่เคยเสนอขายมาก่อน ทั้งนี้ บลจ.ตั้งเป้า 3 ปี (2567-2569) AUM จะโตแตะหลักหมื่นล้านบาท หรือโตเฉลี่ยอย่างน้อยปีละ 20%  

ด้าน ‘นิสารัตน์ ชมภูพงษ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด กล่าวถึง มุมมองการลงทุนในปี 2567 ตลาดหุ้นน่าจะเริ่มกลับมาได้รับความสนใจมากขึ้น 

โดยแนะนำเน้นไปที่หุ้นธีมเทคโนโลยี เนื่องจากดอกเบี้ยขาลงกลุ่มนี้น่าจะได้รับประโยชน์ ส่วนตราสารหนี้เน้นไปที่กลุ่มตราสารหนี้คุณภาพดี (Investment Grade)  

ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ยังคงมีความเสี่ยงจากด้านการเมือง การเบิกจ่ายงบประมาณ ดิจิทัลวอลเล็ต ที่ยังต้องรอความชัดเจน  ขณะที่ปัจจัยหนุนน่าจะได้จากนักท่องเที่ยวที่น่าจะกลับมากขึ้น

ทั้งนี้ มองเป้าดัชนีหุ้นไทยปี 67 ที่ 1,500-1,550 จุด มองจุดต่ำสุดที่ 1,200 จุด และจุดทยอยขายที่ 1,300 จุด  กลุ่มที่แนะนำ ได้แก่ กลุ่มนิคมอุสาหกรรม กลุ่มท่องเที่ยวแต่เลี่ยงกลุ่มสายการบิน  รวมถึงกลุ่มอาหารและกลุ่มการแพทย์

สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนแนะนำนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่เยอะ ให้แบ่งสัดส่วนลงทุนในหุ้น 48-50% และตราสารหนี้ 50% ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากอาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า