รัฐสภาเดนมาร์กลงมติเป็นเอกฉันท์แก้กฎหมายข่มขืน ชี้การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ยินยอมถือเป็นการข่มขืนด้วย
วันที่ 18 พ.ย. 2563 เว็บไซต์นิวยอร์กไทม์ส (The New York Times) รายงานว่ารัฐสภาเดนมาร์กมีมติเป็นเอกฉันท์ แก้ไขกฎหมายว่าด้วยการข่มขืน ซึ่งจากเดิมระบุว่า การข่มขืนต้องมีหลักฐานพิสูจน์ถึงการใช้ความรุนแรง แต่ล่าสุดกฎหมายใหม่นิยามว่า หากคู่กรณีไม่สมยอมในการมีเพศสัมพันธ์ ก็ถือเป็นการข่มขืนแล้ว
การแก้ไขนิยามการข่มขืนในครั้งนี้ ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก โดยหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า การข่มขืนถือเป็นความรุนแรงอยู่แล้ว ไม่ควรที่จะต้องหาหลักฐานอื่นมายืนยันอีก เช่นเดียวกับแอนนา บลุซ นักวิจัยประจำแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หน่วยงานสิทธิมนุษยชนระดับโลกที่มองว่า การแก้ไขกฎหมายข่มขืนของเดนมาร์กยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของเดนมาร์กที่เป็นสวรรค์ของความเท่าเทียมกันทางเพศในสายตาประชาคมโลก
นีนา เบค ฮานเซน ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ซึ่งศึกษาเหตุข่มขืน รวมทั้งเป็นนักกิจกรรมปกป้องสิทธิสตรีชี้ว่า การแก้ไขนิยามการข่มขืนใหม่จะช่วยให้การตัดสินคดีข่มขืนทำได้ง่ายขึ้น เพราะสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับว่าทั้งสองฝ่ายยินยอมมีเพศสัมพันธ์กันหรือไม่ และยังมีส่วนปรับแนวคิดของคนในสังคมใหม่ว่า การข่มขืนไม่ได้หมายความเฉพาะการใช้ความรุนแรงขืนใจอีกฝ่าย
แม้จะได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทุกฝ่าย แต่ความพยายามแก้นิยามคำว่าข่มขืนในกฎหมายเดนมาร์กใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่ชาติยุโรปลงสัตยาบันในสนธิสัญญาอิสตันบูลเมื่อปี 2557 ที่ระบุให้การพิจารณาคดีข่มขืน ต้องคำนึงถึงความยินยอมพร้อมใจเป็นหลัก ซึ่งการแก้ไขกฎหมายนี้ทำให้เดนมาร์กเป็นประเทศที่ 12 ในยุโรป รวมทั้งสหราชอาณาจักร เยอรมนีและสวีเดน ที่ใช้หลักการยินยอมในการพิจาณาเหตุข่มขืนเช่นกัน
กระทรวงยุติธรรมเดนมาร์กเปิดเผยว่า แต่ละปีจะมีผู้หญิงถูกข่มขืนหรือเกือบถูกข่มขืนในประเทศราว 11,400 คน โดยผู้ถูกกระทำเกินครึ่งอายุน้อยกว่า 25 ปี อย่างไรก็ตามมีกรณีที่ถึงมือตำรวจเพียง 1,600 คดี และมีการลงโทษผู้กระทำผิดแค่ 314 คดีเท่านั้น