ปกติเวลาเราส่งพัสดุหรือจดหมาย สิ่งที่เราต้องทำคือเขียนหรือพิมพ์ข้อมูลชื่อ-ที่อยู่ของผู้รับและผู้ส่ง รหัสไปรษณีย์ แต่ในอนาคตอันใกล้ในยุคไทยแลนด์ 4.0 ดูเหมือนว่าเราจะไม่ต้องกรอกข้อมูลแบบเดิมแล้วสำหรับการส่งของที่ไปรษณีย์ไทย
เพราะล่าสุด ‘ไปรษณีย์ไทย’ ได้เปิดตัวระบบใหม่ที่เรียกว่า Digital Post ID (ดิจิทัลโพสต์ไอดี) ที่จะบอกข้อมูลที่อยู่ได้แบบพิกัด GPS คนส่งไม่ต้องเขียนจ่าหน้า ใช้เป็นฉลาก QR Code แปะ ตั้งเป้าเปิดใช้งานจริงไตรมาส 2 ปี 2566
สำหรับ Digital Post ID เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ระบบที่อยู่ดิจิทัล’ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนการระบุข้อมูลตำแหน่งที่อยู่เดิมให้เป็นที่อยู่ดิจิทัล หรือพูดง่ายๆ คือเชื่อมโยงข้อมูลผู้รับและผู้ส่งเข้ากับพิกัดที่อยู่
โดยต่อยอดมาจากการใช้รหัสไปรษณีย์ 5 หลัก ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานการส่งไปรษณีย์ที่ไทยใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 มาแปลงเป็นพิกัดที่ตั้งบนพื้นผิวโลกในประเทศไทย มีหลักการทำงานเดียวกันกับระบบ GPS
ซึ่ง 1 คนสามารถมีได้หลายที่อยู่ และสามารถเปลี่ยนแปลงที่อยู่ชั่วคราวในระบบได้เมื่อจำเป็นต้องเดินทางไปต่างพื้นที่
ข้อดีของ Digital Post ID ขั้นแรกคือระบุที่อยู่ได้แม่นยำกว่าเดิม คือ จากเดิมเลขไปรษณีย์ 5 หลักจะบอกได้ถึงเขตพื้นที่เท่านั้น แต่ Digital Post ID ระบุได้ถึงพิกัดตำแหน่งด้วยการปักหมุด บอกพิกัดแนวดิ่งได้ ทำให้ระบุที่อยู่สำหรับคนที่อยู่ในอาคารสูงได้แม่นยำขึ้น
และที่น่าสนใจคือ เมื่อไม่ต้องจ่าหน้าเป็นตัวหนังสือ ก็จะทำให้ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้ ป้องกันการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้การขนส่งมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น
สำหรับวิธีการใช้งาน คือ ผู้รับจะต้องสมัครและกรอกข้อมูลรายละเอียดการจัดส่ง คือ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร พิกัด ของตัวเองลงในแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทย (กำลังพัฒนาระบบ) จากนั้นก็ส่ง QR Code ให้ผู้ส่งนำไปพิมพ์ที่ที่ทำการไปรษณีย์
จากนั้นไปรษณีย์จะพิมพ์ข้อมูลดิจิทัลโพสต์ไอดีออกมาเป็นฉลาก QR Code แล้วแปะบนกล่องพัสดุ หรือซองจดหมาย (โดยในอนาคตจะมีเครื่องพิมพ์ QR Code ในที่ทำการไปรษณีย์เพื่อรองรับระบบดิจิทัลโพสต์ไอดี)
โดยผู้รับและผู้ส่งมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่หลุด เนื่องจากบนจ่าหน้ากล่อง/ ซอง จะไม่ปรากฏข้อมูลส่วนบุคคล และต้องใช้แอปพลิเคชันบนอุปกรณ์อ่าน QR Code เท่านั้น ถึงจะโชว์ข้อมูลผู้รับ-ผู้ส่ง
ไม่เพียงเท่านั้น QR Code จะเป็นแบบใช้งานได้ครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังมีการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ตามหลักการของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
นอกจากนี้ ยังจะทำให้มั่นใจในการสั่งซื้อสินค้า e-Commerce ได้มากขึ้น เนื่องจากสามารถเชื่อมโยงเส้นทางการขนส่งสินค้าทั้งหมดได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
ไปรษณีย์ไทยตั้งเป้าว่าจะเริ่มเปิดใช้งานในปี 2566 และภายในปี 2567 คาดว่าประชาชนจะมีรหัสดิจิทัลโพสต์ไอดีของตนเองที่จำได้ง่ายมาแทนการเขียนจ่าหน้าแบบเดิมพร้อมกันทั่วประเทศ
‘ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ดิจิทัลโพสต์ไอดีไม่เพียงแค่สร้างประโยชน์ในภาคการขนส่ง หรือการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังสามารถเชื่อมโยงไปสู่ภาคส่วนและกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกหลากหลาย เช่น
-การพัฒนาเส้นทางขนส่ง
-การรองรับระบบการขนส่งในอนาคตที่ไม่ใช้คนขับ (Unmanned Vehicle)
-การป้องกันการปลอมแปลงตัวตน
-การสนับสนุนสิ่งของช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ ในกรณีที่ทราบพื้นที่ประสบภัย
-การสนับสนุนนโยบายด้านสุขภาพ อาทิ ช่วยเหลือผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉิน จัดเก็บข้อมูลผู้สูงอายุในแต่ละพื้นที่ ส่งเสริมการแพทย์ทางไกลเพื่อลดความแออัดในการเข้ารับบริการที่โรงพยาบาล
-การหาพิกัดสถานที่ท่องเที่ยว
-วางแผนบริหารจัดการพื้นที่การเกษตร
-วางผังเมืองและบริหารทรัพยากรธรรมชาติ
-กำหนดเขตเลือกตั้ง ข้อมูลผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
-การเงินและการธนาคาร
-การโฆษณาสินค้าให้กับกลุ่มบุคคลที่มีความสนใจผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะทางเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
-และส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งประเทศ

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ด้าน ‘ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ดิจิทัลโพสต์ไอดีไม่ได้เข้ามาแทนที่ระบบการจ่าหน้าแบบเดิมที่ใช้อยู่ จะให้บริการควบคู่กันไป โดยดิจิทัลโพสต์ไอดีเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้ประชาชนเท่านั้น
แต่ด้วยข้อดี ส่งของแล้วส่งได้ถูกต้อง ของไม่หาย เชื่อว่าพฤติกรรมประชาชนจะค่อยๆ เปลี่ยนมาใช้ดิจิทัลโพสต์ไอดีมากขึ้นในอนาคต

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
“ไปรษณีย์ไทยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ให้บริการไปรษณีย์และโลจิสติกส์ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องด้วยระบบดิจิทัล และบิ๊กดาต้าเพื่อสนับสนุนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน
“ทั้งนี้ในส่วนของดิจิทัลโพสต์ไอดี จะเริ่มขับเคลื่อนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 และได้เชิญภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล ภาคเอกชน อาทิ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสาธารณสุข ผู้ให้บริการขนส่ง มาให้ความเห็น และร่วมกันขับเคลื่อนให้สำเร็จ พร้อมเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงระบบ บูรณาการกับทุกหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อคนไทย”