ในที่สุดก็เคาะแล้วกับ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท’ ที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีกกว่าจะได้ข้อสรุป ล่าสุด ‘คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet’ ได้เห็นชอบ ‘กรอบหลักการ’ แล้ว
แต่ว่าสรุปว่า ทำไมคณะกรรมการฯ ถึงเห็นด้วยว่าต้องทำ? จะใช้เงินจากไหนมาดำเนินโครงการ และจะกระจายเงินยังไง TODAYBizview สรุปให้ฟัง
[ เหตุผลและความจำเป็นของ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท’ ]
พร้อมๆ กับการเคาะกรอบหลักการรอบนี้ ทางคณะกรรมการฯ ได้บอก ‘เหตุผลและความจำเป็น’ ในการทำโครงการนี้ด้วยหลักๆ 3 ข้อ
1️⃣ ในปี 2567 คาด GDP จะเติบโต 2.7% ต่อปี ถือเป็นระดับที่ ‘ต่ำกว่า’ ที่หลายหน่วยงานเคยประมาณไว้ และอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพ-มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต อีกอย่างคือ พอเทียบ GDP ในไตรมาส 3 กับ 4 ของปีที่แล้ว ที่ขจัดผลของฤดูกาลแล้ว (Seasonally Adjusted) จะพบว่า GDP ไตรมาส 4 หดตัว 0.6%
2️⃣ ปัจจุบัน ‘เศรษฐกิจไทย’ ยังต้องเผชิญกับความท้าท้ายทั้งในและนอกประเทศ อาทิ
– ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์
– รายได้ประชาชนฟื้นตัวไม่เท่ากันหลังโควิด
– หนี้ครัวเรือนสูง บั่นทอนกำลังซื้อ ภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
– เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า โตต่ำ กระทบเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกถึง 69%
3️⃣ รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการฯ เพื่อ ‘เพิ่มเงินหมุนเวียน’ ในระบบเศรษฐกิจให้กระจายตัวไปสู่ ‘ท้องถิ่นและชุมชน’ โดยขอบเขตและเงื่อนไขของโครงการฯ ที่เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจในปัจจุบันย่อมส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมและช่วยดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น
แล้วคณะกรรมการฯ ยังระบุถึง ‘ความเสี่ยงทางด้านการคลัง’ ที่ต้องมีความระมัดระวังและป้องกัน รวมถึงมีแนวทางในการช่วยลดผลกระทบดังกล่าว เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนโดยรวม ตลอดจนรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด
?ผลลัพธ์ที่คาดหวัง = เมื่อให้สิทธิแก่ประชาชน 50 ล้านคน คิดเป็นจำนวนเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 5 แสนล้านบาท และกำหนดให้ใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนดที่เป็นการเติมเงินลงสู่ฐานราก จะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณ 1.2% – 1.8% จากกรณีฐาน
[ รัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน? ]
แหล่งเงินจะใช้เงินจากงบประมาณจาก 3 แหล่ง ได้แก่
– เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท
– เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท
– การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ (กู้ ธกส.) จำนวน 172,300 ล้านบาท
รวมเป็นเม็ดเงิน 500,000 ล้านบาท
[ แจกใคร แจกแบบไหน แจกยังไง? ]
?ใครได้เงิน 1 หมื่นบาทบ้าง?
– ประชาชนจำนวนประมาณ 50 ล้านคน
– อายุเกิน 16 ปี ณ เดือนที่มีการลงทะเบียน
– ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี
– มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์-สถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
?แจกผ่านช่องทางไหน
– Super App ของรัฐบาล โดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
– Super App นี้จะพัฒนาให้สามารถใช้จ่ายได้กับธนาคารอื่นๆ ได้ด้วย
?️ระยะเวลาโครงการ
– สมัครเข้าร่วมโครงการในไตรมาส 3 ของปี 2567
– เริ่มใช้จ่ายในไตรมาส 4 ของปี 2567
?ซื้อสินค้าอะไรได้บ้าง?
– ซื้อได้ทุกประเภท
– ยกเว้น สินค้าอบายมุข น้ำมัน บริการ และออนไลน์
– ยกเว้น สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์จะกำหนดเพิ่มเติม
?ซื้อจากร้านไหนได้บ้าง?
– ‘ประชาชน’ ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กในพื้นที่ระดับอำเภอ (878 อำเภอ) ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเท่านั้น
?หลังจากนั้น ร้านค้าถอนเงินสดได้เลยไหม?
– ร้านค้าจะ “ไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันที” หลังประชาชนใช้จ่าย แต่ร้านค้าจะสามารถถอนเงินสดได้เมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่ 2 เป็นต้นไป
– โดยหลังรับเงินใช้จ่ายจากประชาชนทั่วไป ‘ร้านค้า’ ใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้าได้ไม่จำกัดขนาดร้านค้า
– แต่ร้านที่จะ ‘ถอนเงินสด’ ได้จะ ‘ต้องอยู่ในระบบภาษี’ โดยอยู่ในข้อใดข้อหนึ่งใน 3 ข้อนี้
(1) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
(2) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (PIT) – มาตรา 40 (8)
(3) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT)
หรือ แปลง่ายๆ ว่ารอบแรก คนทั่วไปใช้เงินดิจิทัลซื้อสินค้าได้จากร้านเล็กๆ ในอำเภอที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นร้านในอำเภอจะเอาไปซื้อสินค้าต่อจากร้านไหนขนาดใดก็ได้ แต่เงินจะเบิกออกมาได้ต้องเป็นการใช้จ่ายรอบที่ 2 เป็นต้นไป คือ รอบที่ 1 กับรอบที่ 2 ต้องเกิดขึ้นก่อน หลังจากผ่านการใช้จ่ายรอบที่ 2 แล้วจึงจะถอนเงินสดออกมาได้ โดยร้านที่ถอนเงินสดได้จะต้องอยู่ในระบบภาษี
[ วิธีป้องกันการทุจริต ]
– แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ โดยมี
– ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ประธาน)
– ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (อนุกรรมการ)
– ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ (อนุกรรมการ)
– ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (อนุกรรมการ)
จะมีหน้าที่หลักในการตรวจสอบ วินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ รวมถึงการกระทำที่อาจฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังในฐานะเลขานุการคณะกรรมการฯ นำมติที่ได้รับความเห็นชอบเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปภายในเดือนเมษายน 2567