SHARE

คัดลอกแล้ว

เพราะการจะมี ‘โซ่ทองคล้องใจ’ อาจไม่จำเป็นต้อง ‘มีลูก’ เสมอไป…

 

ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคือง หลายประเทศตกอยู่ในสภาวะสงคราม วิกฤตโรคระบาดเพิ่งผ่านพ้น ปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นทุกหนแห่ง คงไม่แปลกหากผู้คนจะมีมุมมองต่อการสร้างครอบครัวที่ต่างออกไปจากในอดีต 

การมีทายาทอาจไม่ใช่เป้าหมายหลักของชีวิต การหารายได้เพียงทางเดียวอาจไม่เพียงพอ ภาพความสุขในอุดมคติแบบดั้งเดิมเริ่มจางหาย แปรเปลี่ยนสู่ทางเลือกที่หลากหลายตามค่านิยมที่เปิดกว้าง

แม้จะเป็นที่รู้จักตั้งแต่ช่วงยุค 80 ทว่ารูปแบบการสร้างครอบครัวที่เรียกว่า DINK ก็เพิ่งจะมาเป็นที่นิยมอย่างจริงจังแค่ในช่วง 10 ปีหลัง โดย DINK หรือ D.I.N.K. (Double Incomes, No Kid) คือการใช้ชีวิตที่คู่รักตัดสินใจร่วมกันว่าจะไม่มีลูก ช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ มีรายรับสองทาง ก่อนจะนำเงินที่หามาได้ไปปรนเปรอความสุข ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการ สถานการณ์ และเงื่อนไขทางสังคม โดยไม่ต้องคอยพะวงถึงชีวิตที่พวกเขาได้ให้กำเนิด ชีวิตซึ่งเราในวันนี้ไม่อาจการันตีความเป็นอยู่ที่ดีในอนาคตให้กับพวกเขาได้

อย่างไรก็ดี เมื่อไม่มีลูกหลานที่เปรียบเปรยว่าเป็น ‘โซ่ทองคล้องใจ’ ของคู่รัก สิ่งใดกันล่ะที่จะช่วยทดแทนความแน่นแฟ้นใกล้ชิด แน่นอนว่างานอดิเรกที่สนใจร่วมกัน ทั้งการออกกำลังกาย ท่องเที่ยว หรือทำธุรกิจอาจช่วยเติมเต็มความสัมพันธ์ได้บ้าง 

ทว่าหากคู่รักแสวงหาการเลี้ยงดูปูเสื่อ ‘ชีวิต’ ให้เติบโตเฉกเช่นการดูแลทารกคนหนึ่ง ทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุดคงหนีไม่พ้นการมีสัตว์เลี้ยงอย่างน้องหมาน้องแมวขนปุย และนั่นเองทำให้เทรนด์ DINK ขยับขยายกลายเป็น ‘DINKWAD’ ในที่สุด

DINKWAD คล้ายจะเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่สืบเนื่องมาจาก DINK หรือจะเรียกว่าเป็นส่วนย่อยของ DINK ก็คงไม่ผิดนัก โดย DINKWAD ย่อมาจาก Double Income, No Kids, with a Dog ที่แปลเป็นภาษาไทยอย่างง่ายได้ว่า ‘รายได้สองเท่า ไม่เอาลูก แต่เลี้ยงหมา’

“เราย้ายมาอยู่นอกเมืองตั้งแต่ปีที่แล้ว เราอยากให้เจ้าอัลบัสได้วิ่งเล่นอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีสายจูง”

นักเขียนที่นำ DINKWAD มาปรับใช้ด้วยความภูมิใจอย่าง เอมี คิลลิงเบ็ค (Amy Killingbeck) กล่าว เธอและสามีปฏิเสธการมีทายาท แล้วเลือกเส้นทางชีวิตที่มีอัลบัส สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทริฟเวอร์ วัย 2 ขวบเป็นพยานรัก พวกเขายินดีย้ายที่อยู่เพื่อให้สัตว์เลี้ยงได้มีชีวิตอันสุขสบาย เพราะความสุขของเจ้าสุนัขเองก็อาจเป็นความสุขของพวกเขาด้วย

“การมีอัลบัสคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับเรา”

สิ่งที่เอมีเน้นย้ำทำให้ประโยคที่ว่า ‘น้องหมาน้องแมวคือโซ่ทองคล้องใจคู่รักรุ่นใหม่แทนที่การมีลูก’ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงอีกต่อไป

ไม่เพียงแค่ครอบครัวของเอมี ปัจจุบันเทรนด์ DINKWAD กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก แฮชแท็ก #dinkwad มียอดเข้าชมบน TikTok นับถึงเดือนกรกฎาคมปี 2024 ไปแล้วมากกว่า 4.1 ล้านครั้ง 

หรือในประเทศไทยเอง ผลสำรวจจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU)  เมื่อเดือนมกราคม ปี 2023 เผยว่า คนไทย 49 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่าง หรือเกือบครึ่ง มักจะเลี้ยงสัตว์เป็นลูก (Pet Parent) หรือพูดอีกแบบคือดูแลสัตว์เลี้ยงไม่ต่างจากสมาชิกอีกคนของครอบครัวนั่นเอง

[เรื่องเงินเรื่องใหญ่ แต่เลี้ยงลูกใช้เงินเยอะกว่า?]

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ไลฟ์สไตล์ทั้ง DINK และ DINKWAD ล้วนแล้วแต่มีเรื่องเงินเป็นข้อจำกัด ซึ่งเมื่อพิจารณาลึกลงไป การเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีภาระค่าใช้จ่ายมากกว่าการเลี้ยงน้องตูบหรือเจ้าเหมียวอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่า ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดจวบจนจบปริญญาตรีในสถาบันการศึกษาของรัฐฯ คิดเป็นประมาณ 1.6 ล้านบาทต่อคน โดยยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อาทิ ค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัย ค่าสาธารณูปโภค ฯลฯ

เทียบกับค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์เลี้ยง ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 14,200 บาทต่อตัวต่อปี ลองคำนวณแบบเผื่อขาดเผื่อเหลือไว้ที่ 20,000 บาทต่อตัวต่อปี เมื่อนำมาคูณกับอายุขัยเฉลี่ยของสัตว์เลี้ยง ซึ่งอย่างมากอยู่ที่ไม่เกิน 20 ปี เท่ากับว่า เจ้าของจะต้องลงเงินกับการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงคู่ใจเฉลี่ยอย่างมากไม่เกิน 400,000 บาท

ดังนั้น จึงพอสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงสัตว์น้อยกว่าการเลี้ยงลูกอย่างน้อย 4 เท่าตัว ทำให้ใครก็ตามที่สมัครเป็นสมาชิกแก๊ง DINKWAD สามารถนำเงินจำนวนเท่ากับการเลี้ยงลูก ไปเลี้ยงน้องหมาน้องแมวได้อย่างน้อย 4 ชีวิต หรือหากเลือกเลี้ยงเพียงชีวิตเดียวก็จะสามารถนำเม็ดเงินส่วนที่เหลือมาประคบประหงมเพื่อนซี้สี่ขาได้ไม่อั้น เปย์ใหญ่ใจป๋าได้โดยไม่เดือดร้อน

นอกจากนี้ หาก ณ จุดใดจุดหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้ไม่สามารถดูแลสัตว์เลี้ยงต่อไปได้ การส่งต่อเจ้าตัวน้อยที่เป็นหมาหรือแมวให้คนที่ไว้ใจช่วยดูแล ย่อมทำได้ง่ายกว่าการส่งมอบเลือดเนื้อเชื้อไขที่เรียกว่าลูกในไส้ให้คนอื่นรับเป็นบุตรบุญธรรม

[พูดไม่ได้ ใช่ว่าสื่อสารไม่เป็น]

เสียงส่วนหนึ่งจากฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับ DINKWAD คือ นอกจากนี่จะเป็นไลฟ์สไตล์ที่ขัดขวางการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรแล้ว เหล่าสัตว์เลี้ยงยังไม่มีความเข้าใจในเจ้าของของตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก

จริงอยู่ที่พลพรรคสัตว์เลี้ยงอาจไม่สามารถ ‘พูดคุย’ ได้ ทว่าพวกมันสามารถ ‘สื่อสาร’ กับมนุษย์ได้ด้วยภาษาและกิริยาท่าทางที่ต่างออกไป การส่ายหาง กระดิกหู หรือแลบลิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นการแสดงออกเพื่อสนทนากับมนุษย์ พวกมันสามารถแสดงความซื่อสัตย์ มอบความรัก หรือกระทั่งปลอบประโลมจิตใจได้โดยไม่ต้องอาศัยถ้อยคำ ทำให้นอกจากจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการชดเชยความรู้สึกของคู่รักที่ต้องการดูแลสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ไม่อยากมีลูกแล้ว สัตว์เลี้ยงยังมีส่วนในการบำบัดช่วยเหลือ ส่งเสริมให้มนุษย์มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ถึงขั้นที่ในสหรัฐอเมริกา มีบริการสัตว์เลี้ยงบำบัด หรือ Pets Therapy มากกว่า 50,000 ตัวเลยทีเดียว

ถึงตรงนี้ จะด้วยเหตุผลเรื่องเงินในกระเป๋า ความรับผิดชอบในการเลี้ยงลูกที่นับวันยิ่งสาหัสสากรรจ์ ข้อดีของสัตว์เลี้ยง หรือจะเป็นช่วงอายุขัยที่เอื้อให้เราดูแลมันได้จนครบวงจรชีวิตก็ตามแต่ ทั้งหมดทั้งมวลต่างส่งให้ DINKWAD กลายเป็นไลฟ์สไตล์มาแรงที่ดึงดูดใจคนรุ่นใหม่ได้มีน้ำหนักมากขึ้นทุกที แถมยังมีแต่แนวโน้มเชิงบวกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

หน่วยงานเก็บสถิติระดับโลกอย่างยูโรมอนิเตอร์คาดการณ์ว่า ในอนาคต ตลาดสัตว์เลี้ยงทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.2 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2026 น่าจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 217,615 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ในประเทศไทย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ คาดว่า มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.4 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2026 ตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยจะมีมูลค่าอยู่ที่ราวๆ 66,748 ล้านบาท

สิ่งที่น่าติดตามต่อไปคือ ความนิยมซึ่งไม่มีทีท่าจะหยุดยั้งของเทรนด์ DINKWAD จะกระทบต่อสภาพสังคมมวลรวมอย่างไร หากคนส่วนใหญ่หันมามีหมาแทนลูก จะนำไปสู่ปัญหาขาดแคลนแรงงานหรือไม่ ฝั่งรัฐบาลมีวิธีรับมืออย่างไรต่อวิถีชีวิตรูปแบบนี้ แล้วในภาคส่วนอื่นๆ อย่างภาคธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์นี้ได้มากน้อยแค่ไหน… วันหนึ่งเราคงได้คำตอบ

ว่าแต่ในวันที่ได้คำตอบ เราจะอยากมีลูกหลานไว้สืบสกุล หรืออยากมีหมาดัชชุนไว้สวมกอดกันนะ…

 

อ้างอิง

businessinsider.com
kinship.co.uk
dailymail.co.uk
creativethailand.org 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า