SHARE

คัดลอกแล้ว

เปิดปี 2020 ไม่ทันไร สงครามเว็บสตรีมมิ่งดูหนังดูซีรี่ส์ก็มีข่าวใหญ่ตั้งแต่ต้นปี และเป็นข่าวที่น่ากังวลเสียมากกว่าด้วย เมื่อสตรีมมิ่งน้องใหม่มาแรงอย่าง Disney+ จากที่ควรจะเดบิวต์มาเพื่อตบทุกเจ้าแล้วขึ้นเป็นผู้นำวงการรายใหม่ แต่ผลที่ออกมาในเบื้องต้นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

DIsney+

เดิมทีค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง ดิสนี่ย์ มีแผนการทำช่องสตรีมมิ่งฉายหนังและซีรี่ส์ของตัวเองมาหลายปีแล้ว แต่หลายอย่างเพิ่งเป็นรูปเป็นร่างในปี 2018 จนกระทั่งช่วงกลางปี 2019 พวกเขาจึงประกาศว่าจะเปิดตัวสตรีมมิ่ง Disney+ ในเดือนพฤศจิกายน 

ทุกวันนี้ ดิสนี่ย์ มีขุมทรัพย์มูลค่ามหาศาล นอกจากคอนเทนต์หนังเด็ก แอนิเมชั่น แต่ยังคว้าสิทธิ์หนังซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวล (Marvel) รวมถึงจักรวาล Star Wars และลิขสิทธิ์ในหนังจำนวนมากของค่ายฟ็อกซ์ (20th Century Fox) มาครองอีก และนี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

และเมื่อเจ้าของลิขสิทธิ์จำนวนมากขนาดนี้ลงทุนทำเว็บสตรีมมิ่งเอง ทำให้ Netflix จะต้องถอดหนังถอดซีรี่ส์จำนวนมากออกไป ในช่วงนั้นใครต่อใครต่างคาดการณ์ว่า Netflix ที่มียอดผู้ติดตาม (Subscriber) มากกว่า 150 ล้านคนจะได้รับผลกระทบหนักแน่นอน เพราะแฟนหนังและซีรี่ส์เหล่านั้นจะไปเสียเงินจำนวนมหาศาลให้กับเจ้าอื่นแทนนำโดย Disney+ และกว่าลิขสิทธิ์เรื่องเด่นๆ จะกลับมาสู่ Netflix ต้องรอนานจนถึงปี 2026 เลยทีเดียว

DIsney+

นอกจากคอนเทนต์เก่าๆ แล้ว อาวุธหลักที่ Disney+ ภาคภูมิใจเหลือเกินและเป็นจุดขายเชิญชวนผู้คนให้สมัครเพื่อรับชมก็คือ The Mandalorian ซีรี่ส์ในจักรวาล Star Wars ที่จะไม่มีเจได ไม่มีดาบไลท์เซเบอร์ ไม่มีซิธลอร์ดตามแบบในหนังฉายโรง โดยหลังออกฉายตอนแรกในวันที่ 12 พฤศจิกายนก็สร้างเสียงฮือฮา โดยเฉพาะการสร้างตัวละครใหม่อย่าง เบบี้โยดา ที่น่ารักน่าชังจนถูกพูดถึงไปทั่วโลก นอกจากนั้นซีรี่ส์ยังเล่าเรื่องได้สนุกสนาน ทำให้นักวิจารณ์หลายสำนักยกให้เป็นผลงานเกี่ยวกับ Star Wars ที่ดีที่สุดของปี 2019 ยิ่งกว่า Star Wars: The Rise of Skywaler เสียอีก แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องดีๆ ไม่กี่ประการของ Disney+ เพราะนอกจาก The Mandalorian แล้วก็โดนถล่มในแทบทุกภาคส่วน ไล่ตั้งแต่ตอนเปิดเว็บวันแรก แม้ผู้คนแห่แหนมาสมัครสมาชิกมากถึง 10 ล้านคน แต่ระบบของเว็บก็ขาดความพร้อมอย่างไม่น่าให้อภัย ส่วนการใช้งานของเว็บไซต์ก็ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ (User Friendly) มากนัก มีบั๊กที่ทำให้ดูรายการไม่ต่อเนื่อง ไหนจะปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ที่ซับซ้อนกว่าที่หลายคนคิดไว้ ทำให้หนังหลายๆ เรื่องถูกถอดออกจากเว็บในเวลาไม่นาน นำโดย Home Alone (1990) และ Home Alone 2: Lost in New York (1992) เป็นต้น แต่นั่นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่เมื่อเทียบกับการขาดคอนเทนต์ใหม่ๆ มาขับเคลื่อนให้ผู้คนอยากเสียเงินอุดหนุนต่อหลังซีรี่ส์เรื่องโปรดออกอากาศจนจบ

DIsney+

ซีรี่ส์ The Mandalorian ใน 1 ฤดูกาลฉายมีทั้งหมด 8 ตอน และฉายสัปดาห์ละตอนเท่านั้น ไม่ได้ปล่อยให้ดูรวดเดียวจบเหมือนกับ Netflix ซึ่งวิธีการดังกล่าวทำให้ Netflix โดนโจมตีมาตลอดว่ามีส่วนให้กระแสของซีรี่ส์และหนังใหม่ๆ ไม่ยืนยาวเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามสิ่งที่มาทดแทนกระแสที่หมดไวคือในอาทิตย์ต่อไปจะมีหนังและซีรี่ส์เรื่องใหม่ๆ มาเพิ่มแน่นอน แถมส่วนใหญ่ยังมั่นใจในคุณภาพได้ด้วย แตกต่างจาก Disney+ ที่สายป่านไม่ยาวพอ จนสมาชิกพร้อมจากลาทันทีที่ The Mandalorian ฉายจบ

จริงๆ แล้วการโดนผู้ใช้บริการยกเลิกสมาชิกเพราะไม่มีอะไรน่าสนใจให้ดู เป็นปัญหาที่สตรีมมิ่งทุกเจ้าพบเจอประจำ HBO ประสบปัญหาแบบนั้นหลังจาก Game of Thrones ปิดฉาก เมื่อผู้คนค้นข้อมูลถึงวิธีเลิกเป็นสมาชิกจนกลายเป็นข่าวดัง ด้านของ Netflix เองก็มีคนแคนเซิลตลอดเวลา และผลจากการสำรวจของ Bank of America ผู้ที่สมัครทั้ง Disney+ และ Netflix เกือบ 7% มีแผนจะยกเลิก Netflix ซึ่งไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย  แต่ดังที่กล่าวไปว่า Netflix มีกำลังแรง กำลังเงินและสายป่านยาวพอ ต่อให้เสียสมาชิกเก่าไปก็มีสมาชิกใหม่พร้อมเข้ามาทดแทนเสมอ ส่วนกรณีของ Disney+ สถานการณ์ตอนนี้ดูจะน่าสิ่วหน้าขวานกว่าที่คิด เพราะหากไล่ย้อนดูคอนเทนต์ที่อยู่ในเว็บของ Disney+ แม้จะอุดมไปด้วยหนังกว่า 800 เรื่อง แต่เปรียบเทียบกันแล้ว ระหว่างการดูหนังเก่าซ้ำไปซ้ำมา กับการดูของใหม่ที่มีออกมาป้อนคนดูเรื่อยๆ คนจำนวนมากย่อมเลือกดูหนัง-ซีรี่ส์ใหม่มากกว่า

DIsney+

สำหรับปี 2020 นี้ Disney+ มีคิวส่งซีรี่ส์หลายเรื่องออกฉายนำโดย The Mandalorian ซีซั่นที่ 2, Falcon and Winter Soldier ซึ่งจะเล่าถึงการรับช่วงต่อตำแหน่งกัปตันอเมริกาคนใหม่ของ ฟัลคอน และ WandaVision ซึ่งเล่าถึงตัวละคร สการ์เล็ตต์ วิทช์ หรือ วานด้า แมกซิมอฟฟ์ กับความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเธอกับ วิชั่น จริงอยู่ว่าซีรี่ส์เหล่านี้ถือเป็นอาวุธสำคัญในการทวงคืนยอดสมาชิกกลับมา แต่ปัญหาคือทั้ง 3 เรื่องนี้มีกำหนดฉายเร็วสุดคือช่วงปลายปี และกรณีของ WandaVision ถูกเลื่อนฉายจากปี 2021 มาอยู่ปีนี้เสียด้วยซ้ำ และยังไม่มีกำหนดฉายเป็นทางการ นั่นคือความน่าเป็นห่วง เพราะซีรี่ส์มาร์เวลหลายเรื่องยังอยู่ในขั้นดำเนินการสร้าง ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสมบูรณ์พร้อมฉายจริงๆ จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา การทำงานอย่างเร่งรีบ ไม่ให้เวลาในการสร้างเพียงพอทำร้ายคอนเทนต์ที่มีศักยภาพมาเยอะมากแล้ว และสถานการณ์ตอนนี้ก็สุ่มเสี่ยงจะทำให้ผลงานของ Disney+ แย่กว่าที่ควรจะเป็นด้วย ซึ่งหากเดินหมากไม่ระวังอาจทำให้แฟนบอยมาร์เวลไม่พอใจในความสุกเอาเผากินจนบอกลาไปอีก

นอกจากเรื่องเหล่านี้ แล้วอีก 10 กว่าเดือนที่เหลืออยู่คนจะได้ดูอะไร? ในช่วงดังกล่าว Disney+ เตรียมการส่งคอนเทนต์ใหม่ๆ อย่างซีรี่ส์ครอบครัว Diary of A Future President โดยวางกำหนดฉายวันที่ 17 มกราคมเป็นต้นไป, Stargirl หนังวัยรุ่นของผู้กำกับ จูเลีย ฮาร์ท ที่เตรียมฉายในเดือนมีนาคม และแอนิเมชั่นที่แฟนๆ Star Wars ปลื้มไม่น้อยอย่าง Star Wars: The Clone Wars ที่จะฉายซีซั่น 7 ในเดือนกุมภาพันธ์  ทั้งหมดนี้เป็นแผนการคร่าวๆ ในช่วง 3 เดือนแรกของปีเท่านั้น แต่จากชื่อเรื่องก็พอจะเดากันได้ว่า ฐานแฟนคลับของเรื่องเหล่านี้ น่าจะยังไม่มากพอจะดึงคนกลับมาได้เท่ากับ The Mandaorian เรื่องเดียว

ผลจากการวางกลยุทธ์ผิดพลาดเหลือเชื่อ ยังต้องติดตามกันต่อไปว่า DIsney+ จะประคองตัวให้ครบปีแรกอย่างไร ซึ่งหากไม่ระมัดระวังให้ดี ปี 2020 จะเป็นปีอันยาวนานกว่าปกติ และกว่าพวกเขาจะผงาดอย่างเป็นทางการ สงครามที่ควรจะน่าติดตามอย่างที่ใครต่อใครทำนายทายทักเอาไว้ อาจปิดฉากก่อนเวลาอันควร เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้ เบบี้โยดา จะน่ารักแค่ไหนก็คงช่วยอะไรไม่ได้

DIsney+

บทความโดย ปารณพัฒน์ แอนุ้ย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า