SHARE

คัดลอกแล้ว

จะเกิดอะไรขึ้นหากหนัง-ซีรี่ส์ที่เราชื่นชอบและกดดูเสมอผ่านทาง Netflix กำลังจะหายไป? 

คำถามนี้อาจทำให้หลายคนคิดหนัก บางคนอาจมองว่าก็แค่หนังไม่กี่เรื่อง ไม่ได้ดูไม่ถือว่าตาย บางคนมองว่าถึงจะเป็นแค่หนังไม่กี่เรื่อง แต่มันจะทำให้พฤติกรรมของตัวเองเปลี่ยนไปเยอะ และสำหรับบางคนอาจมองว่ามันจะเป็นโอกาสและความน่าตื่นเต้น ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในยุคสมัยที่แวดวงสื่อดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อสังคมโลก และสงครามสตรีมมิ่ง-เว็บดูหนัง/ซีรี่ส์ถูกกฎหมาย กำลังเข้มข้นขึ้นไปทุกขณะ 

อย่างที่รู้กันว่า Netflix ถือเป็นเจ้าใหญ่ครองความนิยมจากผู้คนทั่วโลกมากสุดในปัจจุบัน แต่ตอนนี้มีผู้เล่นหน้าใหม่กระโจนเข้ามาในตลาดมากขึ้น รายที่น่าจับตามองมากเป็นพิเศษเห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Disney+ (ดิสนี่ย์พลัส) สตรีมมิ่งของค่ายดิสนี่ย์ ที่ทุ่มทุนสร้างตลาดนี้เต็มตัว ปั้นโปรเจ็คต่างๆ ที่ทางค่ายได้ครอบครองลิขสิทธิ์จำนวนมาก โดยทุ่มทุนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อเป้าหมายคือยอดลูกค้าผู้ใช้บริการ (subscribers) ที่มากถึง 60-90 ล้านคนในช่วงปี 2024

โดยคอนเทนต์หลักๆ ที่ถือเป็นจุดขายคือการต่อยอดหนังซูเปอร์ฮีโร่ในตระกูล Avengers ของ Marvel (มาร์เวล) ด้วยการเน้นทำซีรี่ส์ หาโอกาสเล่าเรื่องอีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่าตอนเป็นหนังใหญ่ และด้วยความที่ดิสนี่ย์ถือครองสิทธิ์ของหนัง/ซีรี่ส์มหาศาล เมื่อเปิดแพลตฟอร์มใหม่ พวกเขาก็จะดึงเอาคอนเทนต์เหล่านั้นที่เคยไปอยู่ตามสตรีมมิ่งเจ้าต่างๆ โดยเฉพาะ Netflix มาฉายเอง ไม่มากไม่น้อยทำให้หลายๆ คนคาดว่า Netflix จะต้องเจ็บตัวหนักแน่ หากของดีที่เคยมีและเป็นตัวกอบโกยเงินทองมานานต้องหายไปอยู่เจ้าอื่น

อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวดูจะมองด้านลบเกินไปหน่อย แต่ไหนแต่ไร Netflix ไม่ได้อยู่รอดแค่จากการเอาคอนเทนต์ผู้อื่นมาฉาย แต่พวกเขายังปั้นผลผลิตใหม่ๆ ขึ้นมาเอง ด้วยไม่ว่าจะเป็นพวก original series หรือหนังขนาดยาว แม้พวกเขาจะลงเงินส่วนนี้ไปเยอะมาก (เหมือนจะมากไปด้วยซ้ำ) และหลายๆ ครั้ง งานเหล่านั้นก็ได้คำวิจารณ์ด้านลบ (โดยเฉพาะฝั่งของหนัง) แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าต่อให้งานจะแย่ คนก็ยังเลือกกดรับชมมากอยู่ดี จนบางทีก็เป็นไปได้สูงว่า ถึงจะไม่ต้องพึ่งพาหนังของดิสนี่ย์ พวกเขาก็จะยังยืนหยัดด้วยเท้าของตัวเองได้

Disney+ ก็น่าจะเห็นด้วยตรงกันว่านั่นคือหนทางรอดที่น่าสนใจ และในเมื่อครอบครองลิขสิทธิ์เด็ดๆ ในฮอลลีวู้ดเยอะมาก พวกเขาก็ต้องเอามาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ด้วยการสร้างสรรค์เรื่องราวใหม่ๆ ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาซีรี่ส์ทั้งหลายที่แตกหน่อมาจากจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel ที่ประกาศสร้างและการันตีว่าอีกไม่นานจะได้ดูกันแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น Ms.Marvel, She-Hulk, Falcon and the Winter Soldier, Moon Knight และอนิเมชั่น What If เป็นต้น ที่แทบจะรับประกันว่าบรรดาแฟนพันธุ์แท้จักรวาลนี้ รวมถึงแฟนตัวละครที่รักจะอุดหนุนอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ซีรี่ส์/หนังซูเปอร์ฮีโร่ The Avengers ไม่ใช่อาวุธชนิดเดียวที่ Disney+ มีอยู่ในมือ พวกเขายังครอบครองขุมทรัพย์ล้ำค่าอย่าง อภิมหาสงครามดาว Star Wars ด้วย และลุงทุนลงแรงไปกับการปั้นซีรี่ส์ ปั้นเรื่องราวเพื่อขยายจักรวาลนี้ให้ก้าวไกลไปมากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน หลังจากได้ครองสิทธิ์ในจักรวาล Star Wars มาเมื่อหลายปีก่อน และทำหนังฉายโรงภาคต่อ Episode 7-9 อีกครั้ง รวมถึงหนังภาคแยก A Star Wars Story ทั้ง 2 เรื่องอย่าง Rogue One (2016) และ Solo (2018) แม้ว่ากรณีของรายหลังจะถือเป็นความล้มเหลวในแทบทุกด้าน ทำให้แผนการสร้างหนังภาคแยกเพิ่มขึ้นมาอีกต้องพับไปชั่วคราว แต่ถึงจะเจ็บหนักจาก Solo ดิสนี่ย์ยังมอง Star Wars เป็นแหล่งรายได้สำคัญ นอกจากจะเดินหน้าโปรเจ็คท์หนังไตรภาคใหม่ฉายโรงที่ได้ 2 ผู้สร้าง Game of Thrones (2011-2019) อย่าง ดีบี ไวส์ และ เดวิด เบนิออฟฟ์ มาควบคุมการสร้างโดยเฉพาะ พวกเขายังสร้างซีรี่ส์ The Mandalorian แตกหน่อออกมาจากเส้นเรื่องหลักที่ว่าด้วยสงครามของเหล่า เจได-ซิธ และเรื่องราวของตระกูลสกายวอล์คเกอร์ หันไปเล่าเรื่องราวของมือปืนนักล่า กับการผจญภัยสุดขอบจักรวาล ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากหนังภาค Return of the Jedi (1983) และก่อนการมาถึงของ The Force Awakens (2015)

The Mandalorian ได้ จอน แฟฟโร่ (ผู้กำกับ Iron Man 2 ภาคแรก, 2008-2010 และ The Lion King, 2019) มาควบคุมงานสร้าง และใช้งบมากถึง 15 ล้านดอลลาร์ต่อตอน ซึ่งไม่ใช่น้อยๆ เลย สูสีกับงบสร้างต่อตอนของ Game of Throne ในซีซั่นหลังๆ ไม่เพียงแค่นั้นดิสนี่ย์ยังวางแผนอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้ซีรี่ส์ที่ว่าด้วยอาจารย์เจได โอบีวัน เคโนบี กลายเป็นความจริงขึ้นมาเสียที โดยตอนนี้พงกเขาได้ ยูเวน แมคเกรเกอร์ เจ้าของบทจาก Episode 1-3 กลับมารับบทอาจารย์เจไดแล้ว และยังมีซีรี่ส์สายลับ-ระทึกขวัญ ต่อยอดจากหนังฉายโรง Rogue One โดยจะย้อนกลับไปเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้าหนังเรื่องนี้ด้วย และ ดีเอโก ลูน่า กลับมารับบท แคสเซี่ยน แอนเดอร์ กบฏต่อต้านสาธารณรัฐเช่นเคย

ยังไม่หมด Disney+ จะสร้าง Star Wars: The Clone Wars (2008-ปัจจุบัน) ซีซั่นใหม่ด้วย โดยที่ผ่านมาก็ถือเป็นผลงานยอดฮิตแบบน่ำนิ่งไหลลึกฝั่งอนิเมขั่นอยู่แล้ว และสามารถยืนหยัดอยู่ได้ยิ่งกว่าหนังฉายโรงบางเรื่องเสียด้วยซ้ำ หากใครชื่นชอบจักรวาล Star Wars นี่ถือเป็นขุมทรัพย์ที่สำคัญที่จะทำให้ฟินกับ Disney+ ไปอีกหลายปีหลังจากนี้ และถ้าคิดว่าแค่ Marvel + Star Wars ก็เพียงพอแล้ว แต่ช้าก่อน ดิสนี่ย์ยังถือครองขุมทรัพย์อนิเมชั่นพิกซาร์ เตรียมส่งซีรี่ส์ Monsters at Work และ Forky Asks a Question ต่อยอดจาก Monsters, Inc (2001) กับ Toy Story 4 (2019) พวกเขาจะกลับมาสร้าง High School Musical เป็นซีรี่ส์หลังจากหนังทีวีและหนังฉายโรงแฟรนไชส์นี้หายไปนานราว 10 ปีเต็ม, เตรียมปลุกชีพตัวละครสาวใส ลิซซี่ แม็คไกวร์ กลับมาในซีรี่ส์ Lizzy McGuire หลังจากเคยออกอากาศทางช่อง Disney Channel เมื่อปี 2001-2004 และอื่นๆ อีกมากมายซึ่งไม่อาจกล่าวถึงหมดได้ในคอลัมน์เดียว

ด้วยโปรเจ็คต่างๆ ที่ผุดขึ้นมานี้ ถ้าดิสนี่ย์ไม่คิดว่าจะประสบความสำเร็จจริงๆ คงไม่กล้าทุ่มเทมากขนาดนี้ ความทุนหนา ใจใหญ่ไม่เกร็งกลัวว่าจะตำน่ำพริกละลายแม่น้ำ น่าจะทำให้แวดวงสตรีมมิ่งออนไลน์ดุเดือดเลือดพล่านไปอีกหลายปี และน่าจะส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของแวดวงความบันเทิงทั่วโลก ที่สำคัญมันถือเป็นกำไรของประชาชนผู้บริโภคด้วย เพราะถ้าผลของ Disney+ ออกมาดี ทาง Netflix เอง รวมถึงสตรีมมิ่งเจ้าอื่นๆ ก็จะหยุดพัฒนาไม่ได้ ต้องสรรหาคอนเทนต์ดีๆ มาสร้างเสมอเพื่อไม่ให้น้อยหน้าคู่แข่ง จะเป็นสงครามที่น่าตื่นเต้นสำหรับคนชอบความบันเทิงราคาถูกโดยแท้ หากแต่ละเจ้าหยุดพัฒนา คนที่ติดตามและเป็นลูกค้าอยู่ย่อมหยุดการสนับสนุน และไปหาเจ้าที่พวกเขาคิดว่าให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุดกับเงินที่เสียไป แม้จะเพียงน้อยนิด แต่ความน้อยนิดของมันก็มีอิทธิพลไม่น้อย จริงอยู่ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าคนจะยังอุดหนุนเจ้าเดิมๆ ที่ตัวเองสมัครอยู่ และเลือกสมัครสมาชิกไปหมดเสียทุกเจ้า แต่ถ้าวันหนึ่ง พวกเขาเกิดรู้สึกว่ามีเว็บใดเว็บหนึ่งให้ของคุณภาพไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปอีกต่อไป แล้วเทใจให้กับฝั่งใดฝั่งหนึ่งไปเลย นั่นหมายถึงการเสียรายรับมหาศาลไป ซึ่งคงไม่มีผู้เล่นในตลาดเจ้าไหนอยากให้เวลานั้นมาถึง

กว่า Disney+ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมคอนเทนต์ใหญ่ยักษ์ต้องรอจนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ เหมือนจะอีกหลายเดือน แต่เวลาค่อยๆ ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว และหลังจากนั้น ความมันส์ที่แท้จริงก็จะบังเกิด โปรดจับตาสงครามนี้เอาไว้ให้ดี สงครามที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล

บทความโดย ปารณพัฒน์ แอนุ้ย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า