ศาลสูงสุดแห่งสหราชอาณาจักรชี้ขาดคำจำกัดความ ‘เพศหญิง’ ตามกฎหมาย ยึดตามเพศสภาพโดยกำเนิด ไม่นับรวมหญิงข้ามเพศที่แม้จะมีใบรับรองการเปลี่ยนเพศอยู่ในมือก็ตาม
ส่งผลให้ นับจากนี้ไปหญิงข้ามเพศในสหราชอาณาจักร ทั้งอังกฤษ เวลส์ และสกอตแลนด์ ไม่ถือว่าเป็นเพศหญิงตามกฎหมายอีกต่อไป
คำพิพากษานี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และจะส่งผลกระทบอะไรบ้างกับผู้หญิงและหญิงข้ามเพศในสหราชอาณาจักรหลังจากนี้ ทูเดย์สรุปให้เข้าใจง่ายที่สุดในโพสต์นี้
จุดเริ่มต้นคดี สู่คำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์
คดีนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากกฎหมายฉบับหนึ่งที่รัฐบาลสกอตแลนด์ออกมาเมื่อปี 2018 โดยตั้งใจจะสร้างสมดุลทางเพศในคณะกรรมการหน่วยงานสาธารณะ จึงกำหนดให้สมาชิกคณะกรรมการจะต้องมีผู้หญิงอยู่ในสัดส่วน 50% ในสัดส่วนนี้ให้นับรวมผู้หญิงที่มีใบรับรองการเปลี่ยนเพศด้วย
ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และข้อถกเถียงตามมาว่า การให้นับรวมผู้หญิงกับหญิงข้ามเพศ อยู่ในข้อกำหนดสัดส่วน 50% ของคณะกรรมการหน่วยงานสาธารณะ เป็นการตีความที่เกินขอบเขต และอาจจะกระทบต่อสิทธิของผู้หญิงที่เกิดมาเป็นเพศหญิงโดยกำเนิด
จนกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี ที่มีชื่อว่า ‘For Women Scotland’ (FWS) ออกมาฟ้องร้องรัฐบาลสกอตแลนด์เกี่ยวกับการนิยามความเป็นหญิงตามกฎหมาย และขอให้ศาลช่วยตีความ พระราชบัญญัติความเท่าเทียมปี 2010 (Equality Act 2010)
โดยให้เหตุผลว่า การคุ้มครองตามเพศควรใช้กับบุคคลที่เกิดมาเป็นผู้หญิงเท่านั้น แม้รัฐบาลสกอตแลนด์จะโต้แย้งว่า บุคคลข้ามเพศที่มีเอกสารรับรองเพศสภาพ มีสิทธิได้รับการคุ้มครองตามเพศเช่นเดียวกัน
ผลจากการฟ้องร้องดังกล่าว ทำให้หลังจากนั้นมีคดีในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นมาอีกหลายคดี เนื่องจากต่างฝ่ายต่างตีความกฎหมายไปคนละมุม จนคดีนี้ถูกส่งไปให้ศาลสูงสุดในกรุงลอนดอนตัดสินชี้ขาด
ในที่สุด เมื่อวานนี้ (16 เม.ย) ศาลสูงสุดแห่งสหราชอาณาจักรมีคำตัดสินออกมา เห็นพ้องกับข้อโต้แย้งของ FWS โดย ลอร์ดแพทริก ฮ็อดจ์ รองประธานศาลสูงสุด ระบุว่า “ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า คำว่า ‘ผู้หญิง’ และ ‘เพศ’ ภายใต้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมปี 2010 หมายถึง เพศหญิงโดยกำเนิด และเพศตามกำเนิดเท่านั้น ไม่รวมถึงผู้หญิงข้ามเพศ”
ศาลให้คำอธิบายว่า คำว่า ‘เพศ’ เป็นแนวคิดแบบทวิภาคี คือบุคคลที่เป็น ‘ชาย’ หรือ ‘หญิง’ ตามเพศกำเนิด การที่บุคคลที่เกิดมาเป็นเพศชายและได้รับใบรับรองการเปลี่ยนแปลงเพศสภาพนั้น จึงไม่เพียงพอที่จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะเพศหญิงโดยกำเนิด เช่นเดียวกับผู้ชายข้ามเพศ ที่ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะเพศชายด้วยเช่นกัน
ศาลยังอธิบายต่อด้วยว่า หากคำว่า ‘เพศ’ ในพระราชบัญญัติความเท่าเทียมปี 2010 ไม่ได้หมายความถึงเพศตามกำเนิดเท่านั้น การตีความแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ให้บริการเฉพาะเพศ เช่น ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า สถานที่พักพิงคนไร้บ้าน และการบริการทางการแพทย์ จะต้องเผชิญกับความยากลำบาก
คำตัดสินนี้จะส่งผลต่อบุคคลข้ามเพศอย่างไร
ลอร์ดแพทริก ฮ็อดจ์ รองประธานศาลสูงสุดแห่งสหราชอาณาจักร ระบุในคำตัดสินอย่างชัดเจนว่า “ไม่ต้องการให้มีการตีความว่า คำตัดสินนี้เป็นชัยชนะของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่แลกมาด้วยการสูญเสียของอีกกลุ่ม”
พร้อมกับยืนยันว่า “บุคคลข้ามเพศจะยังคงได้รับการคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียม ในฐานะบุคคลที่มีการเปลี่ยนแปลงเพศ”
ส่วนสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนี้ มีการคาดการณ์ว่า คำตัดสินของศาลสูงสุดในครั้งนี้ อาจจะกระทบต่อการออกข้อกำหนดของสถานที่ต่างๆ ที่ให้บริการ แยกตามเพศ เช่น ห้องน้ำ หอผู้ป่วยในโรงพยาบาล เรือนจำ และสถานที่พักพิงต่างๆ
หลายปฏิกิริยาตอบรับคำตัดสินของศาล
หลังจากที่ศาลมีคำตัดสินออกมา มีหลากหลายความคิดเห็นจากทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยตัวแทนของกลุ่มสิทธิสตรี FWS ซึ่งเป็นแกนนำในการยื่นฟ้องรัฐบาลครั้งนี้ ออกมาประกาศขอบคุณคำตัดสินของศาล โดยคำตัดสินนี้ “ทำให้เราทุกคนได้กลับมาอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงอีกครั้งหนึ่ง”
ขณะที่ผู้สนับสนุนคนอื่นๆ ก็แสดงความยินดีและเห็นด้วยกับคำตัดสินในครั้งนี้ หลายคนระบุว่า พวกเขาดีใจที่ในที่สุดศาลก็ยอมรับว่าผู้หญิงก็คือผู้หญิงโดยกำเนิด ไม่ใช่ผู้ชายที่กรอกแบบฟอร์มและได้รับรองการเป็นผู้หญิง
เช่นเดียวกับ เจ.เค. โรว์ลิง ผู้เขียนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุน FWS ได้โพสต์บน X ว่า คำตัดสินของศาลเป็นการปกป้องสิทธิของผู้หญิงและเด็กทั่วสหราชอาณาจักร
ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ต่างก็ออกมาแสดงความผิดหวังต่อคำตัดสินครั้งนี้ ถึงกับมีบางคนระบุเลยว่า สหราชอาณาจักรกำลังเดินตามรอยสหรัฐฯ ในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งจะลงนามในคำสั่งยอมรับเพศอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิงเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) ที่ออกมาแสดงความกังวลคำตัดสินนี้อาจทำให้ผู้หญิงข้ามเพศถูกกีดกันมากขึ้น