ตลาดหุ้นสหรัฐเป็นตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างมากในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทที่มีมูลค่ามหาศาลอย่าง Nvidia, Apple และ Amazon ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็น
แต่การเติบโตที่เราเห็นเริ่มจะตึงตัว จากสถานการณ์ดอกเบี้ยสูง ความตึงเครียดของสงครามการค้า และการเมืองในประเทศ รวมถึงการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีที่ชะลอตัวลงจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
ทำให้เรา ต้องหาโอกาสลงทุนจากตลาดใหม่ๆ ซึ่งหนึ่งในตลาดที่อยู่ในเรดาห์ของผู้จัดการกองทุน คือ ‘ตลาดหุ้นยุโรป’
‘Jamie Mills O’Brien’ Investment Director, European Equities จาก Aberdeen Asset Management เล่าถึงโอกาสของการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป โดยคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นยุโรปจะเติบโตแซงหน้าตลาดหุ้นสหรัฐ
เหตุผลก็เพราะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในปัจจุบันเริ่มชะลอตัวลง สวนทางกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปที่กำลังเติบโตขึ้น จนตอนนี้ตีตื้นมาใกล้เคียงกับเศรษฐกิจสหรัฐแล้ว
ทำให้จากเดิมที่นักลงทุนจะให้ความสนใจกับหุ้น 7 นางฟ้า ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet (Google), Amazon, META (Facebook), Tesla และ Nvidia ก็จะเริ่มเบนเข็มความสนใจไปในหุ้นยุโรปมากขึ้น
นอกจากนี้ จุดที่น่าสนใจของหุ้นยุโรป ยังเป็นเรื่องของความขลัง ความยาวนาน ของหุ้นที่ตลาดหุ้นสหรัฐไม่มี เช่น LVMH ที่มีประวัติมานานหลายร้อยปี และยังเป็นบริษัทที่สามารถสร้างกำไรได้จากทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในยุโรปเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เขาได้พูดถึงอีกมุมหนึ่งด้วยว่า แม้หุ้นยุโรปจะน่าสนใจ แต่ก็ยังต้องเลือกลงทุนรายตัว เพราะยุโรปยังมีปัญหาโครงสร้างภายในประเทศอยู่ บริษัทที่น่าสนใจจึงเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรจากทั่วโลก
ขณะที่บทวิเคราะห์จาก S&P Global ระบุว่า เศรษฐกิจยุโรปปีนี้ยังมีความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะจากสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจยุโรป ทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้น และกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน
อัตราเงินเฟ้อที่ทำจุดสูงสุดในรอบ 40 ปี และคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องปีนี้ ทำให้คาดว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจมีต้นทุนในการกู้ยืมเงินแพงขึ้น และทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอลงได้
อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานของยุโรปยังคงแข็งแกร่ง อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่การใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของภาคเอกชน เพราะภาคธุรกิจเริ่มมีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจมากขึ้น
โดย S&P Global ประเมินว่า เศรษฐกิจยุโรปในปี 2567 จะขยายตัวประมาณ 1.5% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอลงจากปี 2566
ส่วนบทวิเคราะห์จาก SET Investnow ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดย ‘จตุรภัทร ทนาบุตร’ นักกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB CIO ระบุว่า
ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX Europe 600 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ที่รายงานออกมา เฉลี่ยมีรายได้และกำไร (Earnings) หดตัว -6.1% และ -11.6% เมื่อเทียบรายปี (YoY) ตามลำดับ
โดยสัดส่วนบริษัทในดัชนีที่รายงานผลประกอบการต่ำกว่าผลสำรวจนักวิเคราะห์ (Consensus) มีมากกว่าสัดส่วนที่ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ของ Consensus
สำหรับปัจจัยหลักที่กดดันผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX Europe 600 ได้แก่
1. ราคาพลังงานที่ชะลอตัวลง กดดันผลประกอบการกลุ่มพลังงาน
2. แนวโน้มกำไรกลุ่มธนาคารแผ่วลง หลังจากอัตราดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
3. เงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินยูโรในช่วงไตรมาสที่ 4/2566 กดดันผลประกอบการในภาพรวม เพราะบริษัทจดทะเบียนในดัชนีมีสัดส่วนรายได้มาจากสหรัฐฯ เฉลี่ย 25% ของรายได้ทั้งหมด
สำหรับปีนี้ SCB CIO คาดว่า ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX Europe 600 จะมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น
โดย Consensus คาดการณ์ว่า การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของดัชนี STOXX Europe 600 ในปี 2567 และปี 2568 จะขยายตัว 6.2% YoY และ 10.4% YoY ตามลำดับ
ส่วนหุ้นที่น่าสนใจ แน่นอนว่าเป็นบริษัทที่สามารถสร้างรายได้จากทั่วโลก ซึ่งหลายคนน่าจะรู้จักกันดี ที่สำคัญยังมีผลประกอบการย้อนหลังโดยรวมดีอย่างต่อเนื่อง เช่น
LVMH : LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton เจ้าของแบรนด์ Luxury ชั้นนำจากทั่วโลก โดยปี 2566 LVMH รายงานกำไรสุทธิ 17,074 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 16% YoY ส่วนยอดขายอยู่ที่ 86,155 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 13% YoY สูงกว่าการคาดการณ์
AIRF : Air France–KLM Group สายการบินที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก มีกำไรจากการดำเนินงานในปี 2566 อยู่ที่ 1,700 ล้านยูโร ส่วนรายได้อยู่ที่ 30,000 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 14% YoY
HEIN : Heineken Holding NV เจ้าแห่งตลาดเบียร์ที่วางจำหน่ายไปทั่วโลก กำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 4,294 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 19% YoY ส่วนรายได้อยู่ที่ 26,924 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 8% YoY
SPOT : Spotify Technology SA แพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลงชื่อดังจากประเทศสวีเดน ภาพรวมในไตรมาส 3 ปี 2566 รายได้รวม 3,357 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 11% YoY และมีกำไรจากการดำเนินงาน 32 ล้านยูโร มีฐานผู้ใช้งานรวมเพิ่มขึ้น 26% YoY เป็น 574 ล้านราย
NESN : Nestlé and Anglo-Swiss Condensed Milk เจ้าของแบรนด์สินค้าชื่อดังไม่ว่าจะเป็นเนสกาแฟ ชาเนสที ไมโล และอื่นๆ อีกมากมาย ปี 2565 กำไรสุทธิ 17.3 พันล้าน (ฟรังก์สวิส) เพิ่มขึ้น 0.4% YoY และมีรายได้จากทั่วโลกที่ 94.4 พันล้าน (ฟรังก์สวิส) เพิ่มขึ้น 8.2% YoY
แล้วทุกคนหล่ะ มองการลงทุนในยุโรปเป็นยังไงบ้าง มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่ตลาดหุ้นยุโรปจะพุ่งขึ้นแซงหน้าตลาดหุ้นสหรัฐ อ่านจบแล้วอย่าลืมคอมเมนต์บอกกัน
ที่มา :
www.spglobal.com/marketintelligence/en/campaigns/the-big-picture-industry-outlook
www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/486-tsi-explore-european-stock-market-opportunities-risks-2024
th.investing.com/equities/nestle-ag-income-statement