SHARE

คัดลอกแล้ว

“อย่าไปกังวลนะพระชั่วเนี่ย สมัยพระพุทธเจ้าก็มีพระชั่วครับ”

เป็นอีกครั้งที่ข่าวฉาววงการผ้าเหลืองวนกลับมา สะเทือนต่อภาพลักษณ์พุทธศาสนาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเสพเมถุนของพระสงฆ์ทั่วไป แต่เป็นคลิป-ภาพหลุดของสีกากับพระระดับชั้นผู้ใหญ่หลายรูป ส่งผลให้ต้องต่อคิวลาสิกขากันเป็นขบวน

วงการสงฆ์ไทยเดินทางมาถึงจุดที่กำลังเสื่อมแล้วหรือยัง และการกำกับดูแลพุทธศาสนาไทยควรเดินต่อไปทางไหน รายการ HEADLINE สำนักข่าว TODAY ชวนย้อนมองต้นตอของปัญหากับ สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา

[สมัยพระพุทธเจ้าก็มีพระชั่ว]

แม้จะมีพระวินัยที่เป็นหลักในการถือปฏิบัติมาอย่างเป็นยาวนานแล้ว ก็ยังคงมีการประพฤติผิดอยู่อย่างสม่ำเสมอ สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา ค่อยๆ อธิบายว่าพระวินัยที่บัญญัติออกมาจนถึงทุกวันนี้ก็ล้วนแล้วเกิดจากพระสาวกของพระพุทธเจ้าที่ทำผิด พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติพระวินัยขึ้นมา แต่เมื่อเป้าหมายในการบวชเพื่อศึกษาธรรมะเปลี่ยนไป และการยึดมั่นถือมั่นในลาภสักการะ กลายมาเป็นต้นต่อของปัญหาต่างๆ ที่ค่อยๆ ผุดให้เห็นในปัจจุบัน

“นายสมฤทธิ์ ลือชัย เป็นคนบ้านนอก แต่พอบวชไม่มีใครรู้จัก แต่พอบวชปุ๊บเดินไปไหนคนยกมือไหว้ผม สถานะทางสังคมมีครับ และสถานะทางเศรษฐกิจมีด้วยนะ เมื่อบวชไปนานๆ ใช่ไหม ทำเป็นเจ้าพิธีกรรมอะไรก็ไป มันจึงกลายเป็นการบวชเพื่อประเด็นอื่น เพื่อเหตุผลอื่น นี่ไง อันนี้หมายถึงว่าผมกำลังพูดถึงพระที่มีเจตจำนงที่ไม่ได้ไปเพื่อดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อนิพพาน แต่ก็มีจำนวนมากนะ คุณต้องเข้าใจอย่างนี้ว่าพระสงฆ์ในเมืองไทยเนี่ยไม่ได้เป็นอย่างนี้ทั้งหมดครับ” สมฤทธิ์ กล่าว

หากจะมองไปยังต้นเหตุของปัญหาแล้ว สิ่งที่ควรทำความเข้าใจก่อนคือ ‘ภิกษุภาวะ’ ซึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระองค์ได้สร้างองค์กรหรือสถาบันนักบวชขึ้นมา ซึ่งมีพุทธบริษัท 4 ที่ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา เข้ามาศึกษาเพื่อ “เป็นโรงเรียนเตรียมนิพพาน” 

แต่เมื่อการบวชเรียน ไม่ได้มีเพียงผู้ที่ต้องการบวชเพื่อศึกษาพระธรรมเพียงอย่างเดียว การบวชเรียนเป็นพื้นที่ที่โอบรับผู้ด้อยโอกาส แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับผู้ที่แสวงหาการขยับสถานะทางสังคม และการเลื่อนขั้นสถานะทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน

[ตัวกู-งก-เงี่ยน]

“ปัญหาที่เราเห็นทุกวันนี้มันเกิดจากอัตตา ราคะ และโลภะ” สมฤทธิ์ สรุปรวบยอดให้เห็นภาพรวมของสารพัดข่าวฉาวที่เกิดขึ้นกับวงการสงฆ์ทุกวันนี้ ก่อนจะอธิบายขยายความต่อ

อัตตาคือการหลงในสถานะของการเป็นนักบวช ส่วนราคะและโลภะสามารถพูดเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า “งกและเงี่ยน” คือการบวชไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อศึกษาวินัย แต่กลับมีเป้าหมายเพื่อจะหาเงิน เมื่อมีทั้งอัตตาและโลภะ หรือการมีทั้ง ‘ตัวกู’ และก็มีความอยากเพื่อตอบสนอง ‘ตัวกู’ จึงเกิดราคะ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือกาม

นักวิชาการอิสระด้านพุทธศาสนารายนี้ยังวิเคราะห์ว่า การบวชเพื่อเหตุผลอื่นนอกจากการมุ่งเป้าสู่นิพพานนั้นมีเหตุผลหลายอย่าง อีกสิ่งหนึ่งที่มักพบเห็นคือ การเลื่อนสถานะทางสังคม  

“พูดตรง ๆ เลยนะครับ หลายคนมาจากครอบครัวที่ยากจน โอกาสทางการศึกษาก็น้อย โอกาสอะไรก็น้อย แต่พอมาบวชเนี่ยโอกาสมันก็มาก อันนี้เราก็เข้าใจครับ แต่เมื่ออาศัยผ้าเหลืองอ่ะ แล้วมันก็ไม่ได้มีเป้าหมายทางนิพพาน เพราะฉะนั้นก็ดำรงชีพแบบนักบวชแกนๆ เปลือกๆ ไปอย่างนั้นน่ะ นี่ไง ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ” สมฤทธิ์ กล่าว

“เมื่อบวชแล้วไม่ศึกษาธรรมะ เมื่อบวชแล้วไม่ปฏิบัติธรรมะ มันก็ไม่ต่างจากพวกเราไม่ใช่เหรอ เพียงแต่โกนหัวกับใส่ผ้าเหลืองแค่นั้นเองครับ นอกนั้นแทบไม่ต่างกับเราเลย” สมฤทธิ์ วิพากษ์

อย่างไรก็ตามในมุมมองของ สมฤทธิ์ มองว่าพระสงฆ์ในเมืองไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียทั้งหมด และมองว่าพระที่ไม่ได้บวชเพื่อเป้าหมายแห่งศาสนาที่ว่าเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย

[ฆราวาสเตือน พระต้องฟัง]

สมฤทธิ์ ระบุว่าพระพุทธเจ้าได้สอนให้พระสงฆ์และฆราวาสเป็นกัลยาณมิตรกัน โดยได้ตรัสว่ากัลยาณมิตรสำคัญมาก เพราะจะคอยเตือน คอยบอก ดังนั้นแล้วพระสงฆ์สามารถเตือนชาวบ้านได้ และในขณะเดียวกัน ชาวบ้านก็ควรจะต้องเตือนพระสงฆ์ได้เช่นกัน

ในสมัยโบราณ เมื่อไม่ชอบใจพระสงฆ์ ชาวบ้านก็ไม่ต้องใส่บาตร ซึ่งสะท้อนถึงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัดกับบ้าน และระหว่างพระนักบวชกับชาวบ้าน

“บ้านเราไปตีความผิด นักบวชกลายเป็นอภิสิทธิ์ชน อยู่สูงกว่าชาวบ้าน ด้วยมายาคติอันหนึ่งที่เกิดขึ้นในพุทธเถรวาทแบบลังกาวงศ์บ้านเราก็คือ…การสร้างสถาบันของสงฆ์ให้มีค่าเท่ากับพระธรรมกับพระพุทธเจ้า พุทธะ ธรรมะ สังฆะ สถานะพระสงฆ์มันถึงกลายเป็นมีความสำคัญมาก คนเลยไม่กล้าไปแตะ” สมฤทธิ์ อธิบาย ก่อนจะขยายความว่าหากมองว่าสงฆ์ในที่ดังกล่าวคือ ‘อริยสงฆ์’ ซึ่งอาจเทียบเท่ากับพระพุทธและพระธรรมได้ แต่ความเป็นจริงคือไม่ใช่ทุกคนที่บวชแล้วจะบรรลุธรรมจนเป็นอริยสงฆ์เช่นนั้น

สมฤทธิ์ ยกภาษาบาลีมาอธิบายว่า พระพุทธเจ้าบอกว่าศาสนาพุทธนั้นสำหรับ ‘เวไนยสัตว์’ หรือสัตว์ที่สอนได้ ดังนั้นนักบวชก็จะต้องสอนได้ และต้องรับฟังเสียงจากกัลยาณมิตร

“พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า กัลยาณมิตรนั้นเปรียบประดุจดังแสงทองที่จะสาดมาก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นครับ นิพพานจะเกิดขึ้นต้องมีกัลยาณมิตรก่อน สำคัญขนาดนั้นนะครับ เราต้องเป็นกัลยาณมิตรครับ เพราะฉะนั้นเราต้องคอยตักเตือนท่าน และพระก็ต้องยอมรับการตักเตือน เวลาพระเตือนเรา เราก็ต้องยอมรับครับ แบบนี้เราถึงพึ่งพา มันเป็นปฏิสัมพันธ์ของชาวพุทธที่เขาสร้างไว้แล้ว แต่ด้วยความที่เราไปตีความผิด เลยไม่ไปบอกกล่าว ไปแนะนำ ไปตักเตือนพระ จะพูดอีกทีก็คือด่าตอนพระทำชั่วใช่ไหม ซึ่งช่วยอะไรไม่ได้ครับ” 

[รัฐไม่ควรควบคุมศาสนา]

นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนาท่านนี้มองว่า อำนาจรัฐไม่ควรจะไปยุ่งกับศาสนา เนื่องจากศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อ ดังนั้นการที่มีรัฐเข้าไปแทรกแซงเป็นการ ‘เกาไม่ถูกที่’ พร้อมกับเล่าย้อนประวัติศาสตร์ว่า ไทยมีหลักฐานการที่รัฐแทรกแซงศาสนามาตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ก่อนที่มีจะมีการเกิด ‘พ.ร.บ.คณะสงฆ์’ และมหาเถรสมาคม ในสมัยรัชกาลที่ 5 และการตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนา ในสมัยรัชกาลที่ 9

อย่างไรก็ตามบทบาทหน้าที่ของมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นสิ่งที่ สมฤทธิ์ วิจารณ์มาตลอดและพยายามขอคำอธิบายเมื่อมีพระส่อเค้าทำผิดวินัย เช่นการร่วมชุมนุม แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ

“มันต้องมีอะไรสักอย่างซ่อนอยู่ใช่ไหม ว่าเขาจะแอ็กชันบางเรื่องใช่ไหม ซึ่งมันก็ไม่ได้อีก ถ้าคิดว่าปกป้องศาสนาคุณต้องจัดการทุกเรื่อง อย่างนี้พระทำไม่ได้ แต่ในที่สุดแล้วมันบอกได้เลยว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง เกาผิดที่ ศาสนาต้องเป็นเรื่องของประชาชน เป็นเรื่องปัจเจกครับ แล้วก็ถามว่าศาสนามันจะอยู่ได้ไง องค์กรศาสนาที่ตั้งมาแต่เดิมเนี่ย มันจะมีขบวนการควบคุมซึ่งกันและกันอย่างที่ผมบอก ชาวบ้านคุมพระ…คุณอย่าไปหวังเลยว่าองค์กรรัฐจะคุมศาสนาได้ไม่มีทาง เพราะรัฐคือการเมือง การเมืองคือเรื่องผลประโยชน์ครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่มันมีผลประโยชน์ต่อการเมืองแล้วสามารถเอาอำนาจไปคุมศาสนา ศาสนาต้องทำเพื่อสนองผลประโยชน์ของทางการเมือง” สมฤทธิ์ กล่าว

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า