เจ้าของฟาร์มหมูโวยขายกิโลละ 60 บาทไม่มีคนซื้อ ตรวจสอบพบทำ Contact farming กับบริษัทเอกชน

พาณิชย์พร้อมด้วยปศุสัตว์จังหวัดระยอง ลงพื้นที่ตรวจสอบฟาร์มหมู หลัง เจ้าของฟาร์ม โวยไหนว่าหมูแพง หมูขาดตลาด แต่หมูในฟาร์มขายแค่กิโลกรัมละ 60 บาท แต่ไม่มีคนซื้อ ตรวจสอบพบเป็นทำ Contact farming ประกันราคากับบริษัทฯ เอกชน 

วันที่ 19 ม.ค. 2565 วานนี้ผู้สื่อข่าวเดินทางไปฟาร์มหมูแห่งหนึ่งใน จ.ระยอง หลังได้รับการร้องเรียนว่า หมูในฟาร์มกว่า 1,500 ตัว และฟาร์มใกล้เคียงที่เลี้ยงมา 5 เดือน ถึงเวลาขายแล้วแต่ยังขายไม่ออก ทั้งที่ขายราคาหมูเป็นราคากิโลกรัมละ 60 บาท ราคาถูกกว่าที่เป็นข่าวอยู่ในเวลานี้ แต่กลับไม่มีคนมาซื้อ ทั้งที่มีการเลี้ยงระบบปิดและมีคุณภาพมาตรฐานไร้โรค จึงสร้างความเดือดร้อนอย่างมากให้กับผู้เลี้ยงหมู

เมื่อเดินทางไปถึงพบเป็นฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่ เลี้ยงระบบปิด มีมาตรการป้องกันโรคอย่างแน่นหนา เจ้าของฟาร์มวัยอายุ 70 ปี เปิดเผยว่า เลี้ยงหมูอยู่ 1,400 ตัว เลี้ยงมาได้ 150 วันครบเวลาขายแล้ว โดยขายในราคาประกันกิโลกรัมละ 60 บาท แต่กลับไม่มีคนมาซื้อ จึงแปลกใจว่าข่าวออกทุกวันว่าหมูขาดตลาดไม่พอขายจึงทำให้ราคาขึ้น แต่ของตนเองกลับไม่มีคนมาซื้อ จึงต้องเลี้ยงต่อไป สิ้นเปลืองค่าอาหารต่อไปอีก

เจ้าของฟาร์ม กล่าวว่า เรื่องโรคระบาดในหมูมีมาตั้งแต่ปี 2560 แล้ว ทุกฟาร์มจึงป้องกันอย่างเข้มข้น ห้ามคนนอกเข้าออกฟาร์ม คนเลี้ยงก็จะต้องทำการพ่นยาฆ่าเชื้อก่อนเข้าฟาร์มทุกครั้ง จึงทำให้ฟาร์มของตนรอดพ้นจากโรคระบาด

ขณะที่เจ้าของฟาร์มหมูอีกแห่งหนึ่ง ขอกว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมหมูจึงขึ้นราคาขนาดนี้ ทั้งที่คนเลี้ยงหมูไม่มีคนมาซื้อ แถมยังขายราคาหน้าฟาร์มแค่ 60 บาทต่อกิโลกรัม แต่ไปถึงผู้บริโภคราคากลับพุ่งสูงกว่า 220 บาท ก็ไม่รู้ไปแพงตรงไหน คนเลี้ยงขายได้ราคาถูก ผู้บริโภคซื้อแพง เรื่องหมูฟาร์มไม่มีคนซื้อไม่ได้ประสบปัญหาเฉพาะฟาร์มเดียว ประสบปัญหากันหลายฟาร์ม ทั้ง จ.ระยอง จ.จันทบุรี และ จ.ตราด ที่มีหมูที่ครบอายุขายคงค้างอยู่ฟาร์มหลายหมื่นตัว ทำให้ผู้เลี้ยงต้องแบกรับภาระค่าอาหารจนแทบจะรับไม่ไหวแล้ว เมื่อสอบถามไปยังผู้ซื้อ คือ พ่อค้าคนกลางก็จะอ้างว่าเป็นไปตามกลไกตลาด จึงยิ่งแปลกใจเพราะหมูขาดตลาดอยู่จนราคาหน้าเขียงพุ่งกระฉูด แต่หมูฟาร์มกลับขายไม่ออก แถมราคายังคงที่ 60 บาทต่อกิโลกรัม ไม่ใช่ราคา 100-110 บาท ตามราคากลาง

• ตรวจสอบพบเลี้ยงแบบ Contact farming ภาคเอกชน

ล่าสุดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง พบการเบี้ยงหมูเป็นการทำสัญญาประกันราคาไว้ที่ 60 บาทต่อกิโลกรัม กำหนดเวลาเลี้ยงไว้ที่ 150 วัน หรือน้ำหนักตัวหมู 120-130 กิโลกรัมต่อตัวตามราคาประกันจากบริษัทฯ ยืนยันเลี้ยงหมูขายให้กับบริษัทแห่งนี้มาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โดยเป็นการเลี้ยงแบบทำสัญญาประกันราคา โดยหมูที่เลี้ยงอยู่ 1,400 ตัว ประกันราคาไว้ที่ 60 บาท ในสัญญามีกำหนดจับในวันที่ 1 ก.พ.2565 แต่เนื่องจากหมูมีน้ำหนักตามกำหนดแล้ว จึงเป็นกังวลเพราะยังไม่มีการกำหนดวันจับจากบริษัท

นายพนธ์สมิทธิ์ กลางนภา ปศุสัตว์จังหวัดระยอง นางสาว สุวีรยา ปั้นปาน พาณิชย์จังหวัดระยอง นายธนโชค พงษ์ชวลิต เกษตรและสหกรณ์ จังหวัดระยอง พร้อมด้วยประชาสัมพันธ์จังหวัดระยอง ปลัดอำเภอแกลง เดินทางไปพบเจ้าของฟาร์มหมู โดยเจ้าของฟาร์มออกมายอมรับว่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จากการที่ตนเองมีความวิตกกังวล ที่หมูในฟาร์ม 1,400 ตัว ยังขายไม่ได้ เพราะบริษัทที่เป็นคู่สัญญาผูกขาด ยังไม่มาจับ  ในขณะที่เนื้อหมูในตลาดมีราคาสูง จึงเกรงว่าถ้าหมูในตลาดแพงมาก คนไม่ซื้อหมูก็จะทำให้หมูในฟาร์มขายไม่ออก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหมูแพงได้อย่างไร เพราะราคาหน้าฟาร์มก็ไม่แพง

สำหรับฟาร์มแห่งนี้เลี้ยงหมูมานานกว่า 10 ปี ทำสัญญาผูกพันกับบริษัทเพียงบริษัทเดียว และอยู่ด้วยกันมานานมากจนมีความผูกพันธ์ไม่คิดจะย้ายบริษัท ถึงจะให้ราคาเพียงแค่  60 บาทก็เป็นราคาที่อยู่ได้ และมีกำไร แต่มีความกังวล เป็นห่วงผู้บริโภคที่ต้องมาซื้อหมูแพง โดยเฉพาะคนหาเช้ากินค่ำ ค่าแรงที่ได้ แต่ละวันไม่สามารถซื้อหมูกินได้แล้วจึงอยากให้ราคาหมูหน้าเขียงลดลงมาพอที่ผู้บริโภคไม่เดือดร้อน

ด้านปศุสัตว์จังหวัดระยอง บอกว่า กรณีของฟาร์มแห่งนี้เป็นการทำสัญญาผูกพันกับบริษัทซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างกันและช่วงนี้ที่ยังไม่ได้มาจับหมูเพราะยังไม่ได้ระยะเวลาที่ตกลงกันในสัญญา แต่เจ้าของฟาร์มมีความวิตกกังวลเพราะเห็นว่าราคาหมูหน้าเขียงมีราคาแพง ส่วนกรณีที่เกรงว่าหมูจะเป็นโรคนั้น ขอยืนยันว่าในจังหวัดระยองไม่มีโรค ASF หรืออหิวาห์แอฟริการะบาด และไม่มีการกักตุนหมู

ทั้งนี้ การทำสัญญาของฟาร์มกับบริษัทเป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนการของเกษตรพันธสัญญา ซึ่งขณะนี้ยังไม่ถึงกำหนดสัญญา ส่วนราคาที่ทำไว้ 60 บาทก็เป็นข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายทำกันไว้แล้วก่อนหน้านี้ โดยทางบริษัทขายลูกหมูให้เพียงตัวละ 1,400 บาท หลังจากขายหมูได้ 5 เดือน บริษัทต้องมาจับหมูในราคา 61 บาท ที่ผ่านมาแต่ละปีจะได้กำไรเฉลี่ย ตัวละ 500-1,000 บาท