SHARE

คัดลอกแล้ว

เหตุสะเทือนโลก เมื่ออเล็กเซย์ นาวัลนี่ ผู้นำฝ่ายค้านรัสเซีย คู่แค้นคนสำคัญของวลาดิเมียร์ ปูติน โดนวางยาพิษจนเกือบตาย ซึ่งตอนแรกก็จับมือใครดมไม่ได้ แต่ด้วยการสืบสวนของสำนักข่าวใหญ่ ทำให้รู้ตัวคนวางยา ซึ่งได้แก่หน่วยสืบราชการลับของรัฐบาลนั่นเอง

เรื่องราวเป็นอย่างไร และปมต่างๆ ถูกเปิดเผยด้วยวิธีไหน workpointTODAY จะสรุปเหตุการณ์สำคัญของโลก ให้เข้าใจใน 20 ข้อ

1) ย้อนกลับไปในปี 2011 รัสเซียมีการเลือกตั้งทั่วไป ปรากฏว่าพรรคยูไนเต็ด รัสเซีย ของวลาดิเมียร์ ปูติน เป็นฝ่ายชนะ ได้เสียง ส.ส.ถึง 238 คน ท่ามกลางข้อครหาว่า มีการโกงผลเลือกตั้งในหลายเมืองทั่วประเทศ ทำให้อเล็กเซย์ นาวัลนี่ ทนายความวัย 35 ปี ปลุกระดมฝูงชน 120,000 คน ให้เดินขบวนประท้วง ทั้งในกรุงมอสโก และในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เรียกร้องการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม

การประท้วงในครั้งนั้นจบลงไป รัฐบาลไม่ลาออก และไม่เลือกตั้งใหม่ อย่างไรก็ตาม เป็นครั้งแรกที่วลาดิเมียร์ ปูติน โดนประท้วงกดดันอย่างหนักขนาดนี้ ทำให้นาวัลนี่ กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงขึ้นมา ในฐานะแกนนำขั้วตรงข้ามรัฐบาล

2) หลังจากนั้นนาวัลนี่ ไล่แฉคนสำคัญของรัฐบาลมากมาย ตั้งแต่รองนายกฯ อิกอร์ ชูวาลอฟ ว่าคอร์รัปชั่น โดยใช้ข้อมูลภายในทำธุรกิจเอื้อกับประโยชน์บริษัทตัวเอง รวมถึงแฉวิคเตอร์ โซโลตอฟ ผู้บัญชาการทหารว่ายักยอกเงิน 29 ล้านดอลลาร์จากรัฐ ซึ่งส่งผลให้ รัฐบาลโดนประณามมากขึ้นเรื่อยๆ และความนิยมในบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ก็ลดลง ดังนั้น นาวัลนี่จึงกลายเป็นศัตรูเบอร์หนึ่งของรัฐบาลรัสเซียไปโดยปริยาย

นาวัลนี่ เคยโดนโทษจำคุกข้อหาฉ้อโกง ซึ่งเชื่อว่าเป็นคำสั่งรัฐบาล โดยศาลในประเทศตัดสินว่าผิด แต่นาวัลนี่ ยื่นคำร้องไปที่ศาลยุติธรรมยุโรป ปรากฎว่า ศาลยุโรปเข้าแทรกแซงและชี้ว่า การลงโทษนาวัลนี่เป็นไปอย่างไม่ชอบธรรม

3) ความนิยมของนาวัลนี่ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนชื่นชอบที่เขาเดินหน้าแฉการคอร์รัปชั่นของรัฐบาล จนมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์มากถึง 2 ล้านคน และมีคนติดตามแชนแนลในยูทูบมากถึง 4 ล้านคน คำพูดของเขาแต่ละครั้งทรงพลังมาก จนนิตยสารวอลล์สตรีต เจอร์นัล ตั้งฉายาให้เขาว่า “ชายที่วลาดิเมียร์ ปูติน หวาดกลัวที่สุด”

ครั้งหนึ่งปูตินเคยด่านาวัลนี่ออกสื่อว่า “พวกอยากดังในอินเตอร์เน็ต เป็นคนที่มีอาการป่วยทางจิต” อย่างไรก็ตาม ในมุมของนานาชาติ กลับมองต่างกันออกไป ในปี 2017 นิตยสารไทม์ ยกให้เขาเป็น 1 ใน 25 ผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์แห่งปี เพราะคำพูดของเขา ทำให้การเมืองของรัสเซียสะเทือนได้เลยทีเดียว

4) ปี 2018 นาวัลนี่จะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับวลาดิเมียร์ ปูติน แต่ กกต. ไม่อนุญาตให้ลงเลือกตั้งได้ โดยอ้างว่า เขาเคยทำผิดกฎหมายข้อหาฉ้อโกง ที่แม้ศาลยุโรปจะชี้ว่าไม่มีมูล แต่ตามกฎการเลือกตั้ง คนที่โดนโทษอาญา ห้ามลงสมัครเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี ดังนั้นถ้านาวัลนี่ อยากสมัครเป็นประธานาธิบดี ก็ต้องรอต่อไปจนถึงปี 2028

นาวัลนี่ ให้สัมภาษณ์ว่า “วลามิเมียร์ ปูตินคงสั่นแบบสุดๆแล้ว เขากลัวที่จะต้องสู้กับผม ผมไม่เข้าใจว่าทำไมแค่เลือกตั้งธรรมดาก็ยังกีดกัน การเลือกตั้งที่รัฐบาลต้องการ คงอยากให้มีแค่ปูติน กับผู้สมัครที่ล็อกไว้แล้ว ลงแข่งขันกันแค่นั้น”

5) ย้อนกลับไปในปี 2017 นาวัลนี่ เคยโดนลอบทำร้าย โดยมีคนขว้างสารเคมีสีเขียวเข้าไปที่ใบหน้าของเขา จนทำให้ตาข้างขวา ลดประสิทธิภาพการมองเห็นมากกว่า 80% ครั้งนั้นไม่สามารถจับมือใครดมได้ จากนั้นในเดือนกรกฎาคม 2019 เขามีผื่นขึ้นทั่วตัว และใบหน้าบวม เหมือนโดนสารพิษบางอย่าง แต่นาวัลนี่ก็ยังไม่เป็นไร เขายังรอดมาได้ และเมื่อรอดก็เดินหน้าทำกิจกรรมโจมตีรัฐบาลเหมือนเดิม

6) เหตุการณ์ผ่านไป จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2020 ระหว่างที่นาวัลนี่ เดินทางจากเมืองทอมส์ ทางตะวันออกของรัสเซีย กลับมาที่กรุงมอสโก ปรากฏว่า เขาหมดสติบนเครื่องบิน ร่างกายช็อก และร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างน่ากลัว นักบินต้องลงจอดฉุกเฉินทันทีที่เมือง ออมส์ ที่อยู่กลางทาง เพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วนที่สุด

หัวหน้าทีมแพทย์ของโรงพยาบาลในเมืองออมส์ กล่าวว่า สาเหตุอาจเป็นไปได้หลายทาง อาจจะแค่ค่าน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือไม่ก็ไปกินอะไรผิดสำแดง ซึ่งทีมงานของนาวัลนี่ ก็ตอบโต้ทันที ว่าอาการมันหนักขนาดนี้ มันน่าจะโดนวางยาพิษมากกว่า

7) ด้วยความไม่ไว้วางใจให้อยู่ในรัสเซียต่อ ยูเลีย ภรรยาของนาวัลนี่ ตัดสินใจส่งสามี ไปรักษาที่กรุงเบอร์ลิน ในประเทศเยอรมัน ในวันที่ 22 สิงหาคม โดยอาการยังอยู่ในขั้นโคม่า ซึ่งแพทย์ที่รัสเซีย คนที่รักษาตอนแรก บอกว่าไม่มีหลักฐานว่ามีพิษในร่างกายของนาวัลนี่ แต่ภรรยาไม่เชื่อ จึงส่งตัวอย่างเลือดให้แล็บอิสระ ในเยอรมัน ฝรั่งเศส และสวีเดน ช่วยตรวจว่าเจอพิษจริงๆหรือไม่

8) วันที่ 2 กันยายน ผลแล็บที่เยอรมันออกมา ปรากฎว่า ในร่างกายของนาวัลนี่ มีสารพิษที่ชื่อ โนวีโชค (Novichok) ปะปนอยู่ ซึ่งโนวีโชค เป็นอาวุธเคมี ที่ถือกำเนิดในยุคโซเวียต มันมีพิษร้ายแรง แต่ประชาชนไม่สามารถครอบครัวสารเคมีตัวนี้ได้ คนที่ถือครองมีเพียงแค่หน่วยสืบราชการลับ (FSB) หรือกระทรวงกลาโหมของรัสเซียเท่านั้น

เรื่องนี้ ผู้นำเยอรมัน อังเคล่า แมร์เคิล ได้สอบถามรัสเซียว่าความจริงเป็นอย่างไร ทำไมสารพิษ ที่มีเฉพาะหน่วยงานลับ ถึงอยู่ในร่างกาย ของอเล็กเซย์ นาวัลนี่ได้ เช่นเดียวกับนาโต้ และ สหภาพยุโรป ต่างเรียกร้องให้รัสเซียมีการสืบสวนคดีอย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยผ่านไปเฉยๆ

9) วันรุ่งขึ้น 3 กันยายน รัฐบาลรัสเซีย ปฏิเสธการอยู่เบื้องหลังการวางยาพิษ แต่คำอธิบายนั้นไม่ชัดเจนพอ อังเคล่า แมร์เคิล ออกมากดดันรัสเซียอีกครั้ง ว่าถ้าหากรัสเซียไม่แสดงความบริสุทธิ์ใจในเรื่องนี้ อาจส่งผลต่อโครงการนอร์ดสตรีม ที่เยอรมันจะสั่งซื้อเชื้อเพลิงจากรัสเซียผ่านทางทะเลบอลติค เพราะการใช้ความรุนแรงโจมตีผู้เห็นต่างทางการเมืองเป็นเรื่องรับไม่ได้ ในสหภาพยุโรป

10) 7 กันยายน รวม 17 วันหลังจากโดนพิษ นาวัลนี่พ้นขีดอันตราย และเริ่มตอบสนองได้ ขณะที่แล็บจากฝรั่งเศส และสวีเดน ก็ยืนยันตรงกันว่า เลือดของนาวัลนี่ มีสารพิษโนวิโช้คอยู่จริงๆ ซึ่งมันกลายเป็นประเด็นใหญ่ทั่วยุโรป ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส โทรไปถามปูติน ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งปูตินได้ตอบกลับไปว่า “นาวัลนี่วางยาพิษตัวเองหรือเปล่า เพื่อดิสเครดิตรัสเซีย เพราะถ้า FSB อยากจะฆ่าจริงๆ เขาไม่มีทางรอดอยู่แล้ว”

ซึ่งตอนนี้ นาวัลนี่ ได้สติแล้ว สามารถพูดได้ เขาจึงพิมพ์ข้อความในอินสตาแกรมเพื่อตอบโต้ทันควัน “ผสมยาโนวิโช้คในห้องครัว จากนั้นแอบดื่มยาพิษเงียบๆ บนเครื่องบิน แล้วไปตายที่โรงพยาบาลในเมืองออมส์ ฝังศพไว้ที่สุสาน ส่วนสาเหตุการตาย เพราะผมใช้ชีวิตมามากพอแล้ว คิดว่าผมจะทำแบบนั้นหรือ ปูตินนี่ตลกดี”

11) ทางรัสเซียรับปากว่าจะไปสืบสวน เพื่อลดแรงกดดันจากนานาชาติ แต่หลายคนก็เชื่อว่า คงจับมือใครดมไม่ได้เหมือนเดิม ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ โดยอัยการที่รัสเซียระบุว่า ไม่มีหลักฐานพอที่จะเอาผิดใครได้ และไม่มีข้อสงสัยว่าจะเป็นอาชญากรรม คดีจึงตกไป

อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันนั้นเอง 3 สื่อระดับโลก ประกอบด้วย ซีเอ็นเอ็นของสหรัฐฯ , แดร์สปีเกล จากเยอรมัน และ เบลลิงแคท จากรัสเซีย รวมตัวกันเฉพาะกิจ เพื่อตั้งหน่วยสืบสวนลับ เพื่อค้นหาความจริง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาวัลนี่กันแน่

12) ทีมงานทั้ง 3 สื่อใหญ่ ลงพื้นที่อย่างจริงจังเป็นเวลา 3 เดือน หาข้อมูลทั้งจากโรงแรมในเมืองทอมส์ ที่นาวัลนี่พัก ที่สนามบิน ไปจนถึงผู้โดยสารบนเครื่อง เช็กกล้องวงจรปิดที่มีทุกอย่าง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังไล่ไปดูวีดีโอในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนาวัลนี่บอกว่า เขาเหมือนโดนสะกดรอยตามอย่างน้อย 30 ครั้ง ซึ่งทีมข่าวเฉพาะกิจได้ทำการเปรียบเทียบ ว่ามีใครที่เคยสะกดรอยนาวัลนี่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แล้วอยู่ในเมืองทอมส์ ในช่วงเกิดเหตุบ้าง

ต้นเดือนธันวาคม จากการสืบค้นอย่างหนัก ในที่สุดทีมข่าวก็สามารถระบุได้ว่า มีหน่วยสืบราชการลับ (FSB) 10 คน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และสามารถสืบจนรู้ชื่อ และหาเบอร์โทรศัพท์ได้ครบทุกคนแล้ว

14) ทีมงานนักข่าวโทรหา 8 คนแรก แต่ไม่มีใครรับแล้วตัดสายไปเลย ดังนั้นทีมข่าวจึงวางแผนใหม่ โดยให้ตัวนาวัลนี่ ที่รู้เรื่องเหตุการณ์ดีที่สุด ปลอมตัวเป็น หัวหน้าหน่วย FSB ชื่อ “แม็กซิม อุสตินอฟ” ซึ่งนี่เป็นชื่อที่แต่งขึ้นเอง โดยนาวัลนี่จะแกล้งปลอมตัว เพื่อถามเจ้าหน้าที่ FSB อีก 2 คนที่เหลือ เกี่ยวกับภารกิจ ว่าทำไมถึงทำงานพลาดได้ ไม่สามารถกำจัดเป้าหมายได้สำเร็จ

คนแรกที่นาวัลนี่โทรหา คือ มิกาอิล ชเว็ตส์ ซึ่งข้อมูลระบุว่าชเว็ตส์เคยสะกดรอยตามเขา ในเดือนกรกฎาคม 2020 ที่คาลินินกราด แต่ปรากฏว่าการหลอกไม่สำเร็จ ชเว็ตส์ จำเสียงนาวัลนี่ได้ แล้วตอบกลับมาว่า “ฉันรู้ดีว่าแกคือใคร” ก่อนจะวางสายไป

15) สายที่ 2 และเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ข้อมูล นั่นคือคอนสแตนติน คุดยาเซฟ เจ้าหน้าที่หน่วย FSB อีกคนหนึ่ง โดยปัจจุบันทำงานหน่วยเคมี ในกระทรวงกลาโหม โดยรายงานเผยว่า คุดยาเซฟ อยู่ที่เมืองออมส์ หลังเกิดเหตุ 5 วัน ดังนั้นมีความเป็นไปได้ ที่จะเป็นหน่วยเก็บกวาด ของ FSB

ทีมงานให้นาวัลนี่ โทรหาคุดยาเซฟตอนตีสี่ครึ่งที่รัสเซีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนอาจจะยังเบลอๆ ตั้งสติไม่ได้ นอกจากนั้นยังใช้ซอฟแวร์ที่ปลอมเบอร์ให้เหมือนเบอร์ Landline ของ FSB โทรมา ทำให้คุดยาเซฟหลงเชื่อ คิดว่าแม็กซิม อุสตินอฟ เป็นหัวหน้าที่มีตัวตนจริงๆ จึงเริ่มเล่าอย่างหมดเปลือกว่าเกิดอะไรขึ้น โดยทั้งสองคนคุยกันถึง 49 นาที และนาวัลนี่ ก็ไม่เผลอหลุดคาแรคเตอร์ให้คุดยาเซฟได้รู้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

16) นาวัลนี่ แกล้งปลอมตัวเป็นระดับหัวหน้า ที่อยากรู้เหตุผลทั้งหมดว่าทำไม ภารกิจผิดพลาดได้ ซึ่งคุดยาเซฟก็เล่าให้ฟัง ว่า FSB มีแผนการลอบสังหาร นาวัลนี่จริง โดยเขาอยู่ทีมเก็บกวาด ต้องเก็บเสื้อผ้าที่เป็นหลักฐานการวางยาพิษเอาไปทำลายทิ้ง

คุดยาเซฟ เล่าหมดเปลือก ว่าหัวหน้าปฏิบัติการคือสตานิสลาฟ มัคชาคอฟ ผู้อำนวยการหน่วยโจมตีของ FSB ขณะที่ทีมวางยาพิษ มีอีวาน โอซิปอฟ กับ อเล็กเซย์ อเล็กซานดรอฟ

การวางยาพิษ ใช้วิธีลอบวางที่กางเกงใน โดยหน่วยวางยาพิษจะแอบเข้าไปที่ห้องในโรงแรม ก่อนที่จะทาสารโนวิโช้คเอาไว้ในปริมาณที่มากพอ โดยสารพิษจะค่อยๆซึมเข้าร่างกาย และจะไปเกิดอาการบนเครื่องบินพอดีตามที่คำนวณไว้ อย่างไรก็ตามความผิดพลาดคือนักบิน จอดฉุกเฉินและนำตัวส่งโรงพยาบาลเร็วเกินไป ทำให้เหยื่อรอดชีวิต

ขณะที่หน่วยเก็บกวาด จะมีหน้าที่ลักลอบไปที่โรงพยาบาลและเก็บกวาดเสื้อผ้าทุกชิ้นของเหยื่อ ที่มีโอกาสติดสารพิษ โดยเอาไปทำลายหลักฐานให้หมด

17) ตลอดการคุย 49 นาที คุดยาเซฟหลุดชื่อมาหลายคน ทำให้เห็นว่ามีคนจากหลายหน่วยงานที่ร่วมด้วยในปฏิบัติการลอบสังหารครั้งนี้ ก่อนสุดท้ายทั้งคู่จะวางสายไป โดยที่คุดยาเซฟไม่รู้เลยว่าคนที่คุยอยู่ คือคนที่พวกเขาพยายามจะลอบสังหาร

18) วันที่ 21 ธันวาคม สื่อทั้งหมด ซีเอ็นเอ็น, เบลลิงแคท และ แดร์ สปีเกล ลงเสนอข่าวการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ FSB พร้อมกัน มีทั้งคลิป ทั้งเสียง หลักฐานหนักแน่น จนเป็นประเด็นสะเทือนโลก เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มีตัวตนจริงๆ พูดถึงวิธีการลอบสังหาร คนที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับรัฐบาล

อิริน่า โบโรแกน นักข่าวชาวรัสเซีย ทวีตข้อความว่า “ฉันตามข่าวเกี่ยวกับ FSB มาหลายปี และรู้ว่าพวกเขาไม่ได้เก่งอย่างที่ใครๆคิดหรอก แต่การที่คุณโดนนาวัลนี่หลอกเอาได้นี่ มันเหลือเชื่อจริงๆ พวกเขางี่เง่ามากๆ และนั่นยิ่งทำให้พวกเขาอันตรายมากขึ้น”

19) สำหรับสถานการณ์การเมืองของรัสเซียตอนนี้ เริ่มมีผู้ไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้น จากประเด็นการลอบสังหาร อย่างไรก็ตาม วลาดิเมียร์ ปูติน ยังยืนยันชัดเจนว่า การลอบสังหารไม่มีจริง คือรัสเซียจะทำไปทำไม

“ผมหมายถึง มันจะมีประโยชน์อะไรที่เราต้องวางยาเขาล่ะ?” ปูตินกล่าว

20) ล่าสุดอเล็กเซย์ นาวัลนี่ ก็ยังคงยืนยันชัดเจนว่า เขาจะวางยาตัวเองทำไม แล้วใครจะไปหาสารพิษโนวีโช้คออกมาได้ มันเป็นสารเคมีที่หายากจะตาย และมีเก็บไว้แต่ที่หน่วยงานรัฐเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลรัสเซียยังไม่ออกมาอธิบายใดๆ ขณะที่นานาชาติ เมื่อเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็จับตาดูอย่างใกล้ชิด ว่ารัสเซียจะจัดการกับเหตุการณ์นี้อย่างไร

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า