Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

explainer ปิดหีบเลือกตั้งผู้ว่าฯ แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทุกคนรู้ว่าผู้ชนะคือใคร เมื่อทุกเขตในกรุงเทพมหานคร ระดมโหวตให้ รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธ์เข้าป้ายเป็นอันดับ 1 ทั้ง 50 เขต แม้ผลทางการจะยังไม่ออก แต่นาทีนี้ยากจะพลิกแล้ว

เอาจริงๆ เรื่องชัชชาติชนะ หลายคนก็คาดไว้แต่แรกอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่า คือเป็นการชนะแบบถล่มทลาย หรือที่เรียกกันว่า Landslide ซึ่งยากมากที่คนกรุงเทพฯ จะพร้อมใจกันเทคะแนนเสียงให้คนคนเดียวขนาดนี้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว

เพราะอะไร ชัชชาติถึงคว้าชัยชนะ ได้อย่างเด็ดขาด นี่คือเหตุผล 10 ข้อ จากการวิเคราะห์ของทีมงาน workpointTODAY

[ 1- ชัชชาติประกาศตัวลงผู้ว่าฯ ถึง 2 ปีครึ่งก่อนวันเลือกตั้ง ]

คนโหวตในกรุงเทพมหานคร เบื่อหน่ายเกมการเมือง ทุกคนต้องการคนที่ตั้งใจเข้ามาทำงานจริงๆ ไม่ใช่ลงสมัครเพียงเพราะอยากมีตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งในบรรดาผู้สมัครทั้งหมด ชัชชาติ ประกาศตัวตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 ว่าเขาต้องการลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ในวันนั้นชัชชาติ บอกว่า ไม่รู้จะมีกำหนดเลือกตั้งตอนไหน แต่มันเป็นตำแหน่งที่เขาอยากทำงาน จึงมุ่งหน้ามาลงพื้นที่อย่างจริงจัง ซึ่งการมีจุดยืนที่ชัดเจนแต่แรก ทำให้เขาลงพื้นที่ก่อนใคร ได้เข้าใจและรู้ปัญหาอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่รู้ผิวเผินเพื่อไว้ใช้หาเสียง

การมุ่งตรงไปที่ ตำแหน่งผู้ว่าฯ อย่างเดียว ทำให้เขารู้ภาพรวมว่า ปัญหาใดแก้ได้ทันที ปัญหาไหนต้องใช้การประณีประณอม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ผู้สม้ครทุกคนที่จะสามารถทำได้

[ 2- ชัชชาติประกาศลงในนามอิสระ ]

ชัชชาติมีความสัมพันธ์กับเพื่อไทย ตั้งแต่เป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรค แต่เขาตัดสินใจแยกตัวออกมา ลดภาพว่าตัวเองเป็นนักการเมืองที่มีฝักมีฝ่าย แต่เน้นภาพลักษณ์ใหม่ ว่าตัวเองเป็นคนตั้งใจทำงาน มุ่งมั่น

ในการลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพ ชัชชาติตัดสินใจลงในนามอิสระ ไม่อิงกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็เข้าใจสถานการณ์ดี จึงไม่ส่งคนลงสมัครมาชนกับชัชชาติด้วย
ด้วยการลงอิสระ ทำให้เขาได้ฐานคะแนนเสียงของกลุ่มประชาธิปไตย และแฟนคลับของพรรคเพื่อไทย รวมถึงกลุ่มอนุรักษ์นิยม ที่ไม่เอียงจ๋าเกินไป เป็น Swing Voter คือบางคนของกลุ่มนี้อาจทำใจเลือกวิโรจน์ จากก้าวไกลไม่ลง แต่พอเป็นชัชชาติที่มีภาพลักษณ์คนทำงาน และดูไม่อิงกับฝ่ายไหนเป็นพิเศษ ทำให้ได้รับคะแนนจากคนทุกกลุ่มในกทม.

[ 3- ชัชชาติมีประวัติที่ครบเครื่องรอบด้าน ]

แน่นอน ว่าทุกคนอยากได้คนเก่งเข้ามาเป็นผู้นำท้องถิ่น และชัชชาติมีเกียรติประวัติที่ยอดเยี่ยม เขาเรียนจบวิศวกรรมโยธา ปริญญาตรี จุฬาฯ ,ปริญญาโทที่ MIT และ ปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์แบน่า-แชมเปญจน์

หลังเรียนจบมา ชัชชาติทำงานกับหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ทั้งมหาวิทยาลัย, การรถไฟ และ วิทยุการบิน เคยทำงานกับภาคเอกชน อย่างบริษัท Q House และเคยอยู่ในคณะรัฐมนตรี ทำงานภาคการเมืองมาแล้วด้วย ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนมั่นใจได้คือ ชัชชาติ จะ “เข้าใจ” ทุกๆ ฝ่าย ทั้งรัฐ ทั้งเอกชน และ ทั้งฝ่ายการเมือง

ผู้ว่ากรุงเทพ เป็นงานที่ต้อง “เชื่อมต่อ” กับทุกหน่วยงานเข้าด้วยกัน เพื่อให้ปัญหาถูกแก้ไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งในตัวเลือกผู้สมัครทั้งหมด บางคนอาจจะเคยทำกับภาคการเมือง บางคนอาจเคยทำงานบริษัทเอกชน แต่ไม่มีใครเลย ที่เคยทำงานกับทุกฝ่าย และเข้าใจแนวทางของทุกกลุ่มอย่างลึกซึ้ง

ความรู้รอบด้าน และประสบการณ์ทั้งชีวิต คือสิ่งที่ทำให้ชัชชาติแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่นอยู่หนึ่งก้าว

[ 4- ผู้คนอยากเห็นชัชชาติได้ทำงานใหญ่เสียที ]

ในสมัยที่ชัชชาติ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เขามีโปรเจ็กต์ “สร้างอนาคตประเทศไทย” สร้างรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ มูลค่า 2 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม รถไฟนั้นไม่สามารถถูกสร้างได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวคนส่วนใหญ่อาจจะจำได้ว่า นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ทำถนนลูกรังให้หมดไปจากประเทศไทย ก่อนที่จะคิดถึงระบบรถไฟความเร็วสูง”

พร้อมกล่าวถึงชัชชาติว่า “มันยังไม่จำเป็นสำหรับประเทศไทยเลย และเงินกู้ 2 ล้านล้าน คุณชัชชาติตายไปเกิดใหม่ มารุ่นลูกรุ่นหลาน ยังใช้ไม่หมดเลย”การโดนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแบบนั้น ทำให้เมกะโปรเจ็กต์ในไทยไม่เกิดขึ้น ซึ่งในขณะที่ชาติอื่นๆ เดินหน้าเรื่องรถไฟความเร็วสูงไปแล้ว แต่ไทยยังไม่สามารถสร้างได้จนถึงปัจจุบัน

ชัชชาติทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมได้ไม่นานนัก ประเทศก็เกิดการรัฐประหารขึ้น คสช.ยึดอำนาจ เท่ากับว่าความรู้ความสามารถของเขา จึงไม่ถูกนำมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้คนรู้ว่าชัชชาติมีความรู้ และมีความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นเมื่อเขาลงสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม. จึงยินดี เทคะแนนเสียงเพื่อให้กลับมาทำงานเพื่อสังคมอีกครั้ง และหวังว่าคราวนี้ จะได้ทำงานอย่างราบรื่นโดยไม่โดนใครถ่วงขาไว้อีก

[ 5- คู่แข่งฝั่งอนุรักษ์นิยมไม่มีคนเด่นพอขึ้นมาสู้ได้ ]

ถ้าชัชชาติครองความนิยมของฝั่งประชาธิปไตย ฝั่งอนุรักษ์นิยมในคราวนี้ มีตัวเลือกถึง 4 คน คือ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากประชาธิปัตย์, อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าคนปัจุจบัน, รสนา โตสิตระกูล อดีตวุฒิสมาชิก และ สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่ากรุงเทพ

อย่างไรก็ตามทั้ง 4 คน ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่ ดร.สุชัชวีร์ มีแผลตั้งแต่เรื่องเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นศิษย์สายตรงไอน์สไตน์ ทำให้เขาเสียความนิยมไป อัศวิน ขวัญเมือง ไม่มีผลงานโดดเด่นในฐานะผู้ว่า รสนามีฐานเสียงน้อย ส่วนสกลธี เคยเป็นแกนนำ กปปส. มาก่อน จึงไม่เป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่

ดร.เสรี วงษ์มณฑา ให้คำแนะนำว่า กองเชียร์ของ 4 คนนี้ ควรใช้ Strategic Vote หรือเทคะแนนเสียงไปให้คนเดียวที่เด่นที่สุดเลย เพื่อจะได้สู้กับชัชชาติได้ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่มีใครใน 4 คนนี้ ที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่นกว่าคนอื่นเลย

จริงๆ ก่อนหน้านี้ พรรคพลังประชารัฐ ทาบทาม “ผู้ว่าหมูป่า” นายณรงค์ศักดื์ โอสถธนากร ลงเป็นแคนดิเดทสู้กับชัชชาติ แต่ถูกปฏิเสธเพราะต้องการทำงานราชการต่อ
จริงๆ ถ้าผู้ว่าหมูป่าตอบตกลงในวันนั้น การต่อสู้แย่งชิง อาจจะสูสีมากกว่านี้ แต่เมื่อไม่มีตัวเลือกที่โดดเด่นพอ เสียงโหวตกระจัดกระจาย จึงนำมาสู่ชัยชนะอย่างเด็ดขาดของชัชชาติอีกทางหนึ่ง

[ 6- ต้องการส่งเสียง อยากให้ประเทศเปลี่ยนแปลง ]

แม้การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพ จะเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น แต่กรุงเทพ คือศูนย์กลางของประเทศไทย การเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจากเมืองหลวง จะนำมาซึ่งความเชื่อถึงการเปลี่ยนแปลงในจังหวัดอื่นๆ ได้เช่นกัน

การเลือกตั้งครั้งนี้ นอกเหนือจากเลือกที่ตัวบุคคลแล้ว ยังเป็นการต่อสู้ถึงอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างฝั่งประชาธิปไตย (วิโรจน์, ชัชชาติ, ศิธา) และ ฝั่งอนุรักษ์นิยม (สกลธี, สุชัชวีร์, อัศวิน, รสนา) หลายคนเชื่อว่า นี่คือการส่งเสียงของคนกรุงเทพ ว่าฝั่งประชาธิปไตย ควรได้รับโอกาสบริหารบ้านเมืองดูบ้าง

[ 7- ชัชชาติเก็บรายละเอียดทุกอย่างได้ดี ]

จุดเด่นที่ชัชชาติสร้างความนิยมได้มากในเลือกตั้งครั้งนี้ คือการใส่ใจดีเทลทุกๆ อย่าง ตัวอย่างเช่น ป้ายหาเสียงเลือกตั้ง ชัชชาติจะทำให้มีขนาดเล็กที่สุด (0.6 x 2.4 เมตร และ 0.6×0.8 เมตร) เพื่อไม่ให้ลำบากต่อการสัญจรของคนเดินถนน นอกจากนั้นยังมีปริมาณน้อยกว่าผู้สมัครคนอื่น โดยมีปริมาณน้อยกว่า 50% ที่กฎหมายอนุญาตให้ผู้สมัครทำได้

นอกจากนั้นป้ายไวนิลหาเสียง แทนที่จะปล่อยให้เป็นขยะหลังเลือกตั้ง ยังมีการออกแบบให้สามารถนำไปตัดและเย็บทำกระเป๋าได้ต่อ โดยไม่ต้องเอาไปทิ้ง รวมถึงแผ่นพับที่เป็นรูปแบบของหนังสือพิมพ์ ก็สามารถนำมาเช็ดกระจกได้ก่อน แทนที่จะเป็นกระดาษที่ใช้แล้วทิ้งเฉยๆ

เช่นเดียวกับรถหาเสียง ที่ใช้รถไฟฟ้า (EV) เพื่อช่วยลดมลพิษของกรุงเทพให้มากที่สุด คือสิ่งที่เขาทำ จะเห็นว่า เข้าใจเทรนด์เรื่องสิ่งแวดล้อม ทำไมผู้สมัครต้องทำป้ายหาเสียงรบกวนการสัญจรของชาวบ้าน หรือเป็นคนเพิ่มมลพิษขึ้นมาเอง

ผู้ว่ากรุงเทพ ต้องมีไอเดีย มีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้ประชาชนได้เห็น ซึ่งชัชชาติสอบผ่านในรายละเอียดเหล่านี้

[ 8- วิสัยทัศน์ชัดเจน รู้ว่าจะทำอะไร ]

ชัชชาติ เขียนไว้ในใบหาเสียงว่า กรุงเทพฯ ถูกยกย่องให้เป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับ 1 ของโลก แต่ในความเป็นเมืองน่าอยู่ กรุงเทพฯ อยู่อันดับ 98 ของโลก คำถามคือ ทำอย่างไรที่จะทำให้ “เมืองน่าเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ” กลายเป็น “เมืองน่าอยู่ สำหรับคนที่อยู่อาศัยจริงๆ”

เขาอธิบายต่อว่า ในร่างกายมนุษย์ หรือในเมือง 1 เมือง จะต้องมี “เส้นเลือดใหญ่” ซึ่งหมายถึงโครงการเมกะโปรเจ็กต์ สร้างรถไฟฟ้า รถใต้ดิน กับ “เส้นเลือดฝอย” คือการลงทุนกับสิ่งเล็กๆ ในชุมชนต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มัวแต่สนใจเส้นเลือดใหญ่ จนละเลยเส้นเลือดฝอย ซึ่งถ้าไม่ดูแลเส้นเลือดฝอยให้ดี ร่างกายมนุษย์ก็อยู่ไม่เป็นสุข

ยกตัวอย่างเช่น กรุงเทพฯ มีรถไฟฟ้าหลากสี ถ้าคนที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าก็สบายไปแต่คนที่อยู่ไกลกว่านั้น ต้องต่อรถตู้ ต่อมอเตอร์ไซค์จริงๆ มันควรมีการเชื่อมต่อ ที่ทำให้ผู้คนสะดวกกว่านี้ หรือในกรุงเทพฯ มีอุโมงค์ยักษ์ราคาหมื่นล้านไว้ระบายน้ำ แต่ในชุมชนเล็กๆ ท่อน้ำอุดตันระบายไม่ได้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ชัชชาติสัญญาว่าถ้าเขาได้เป็นผู้ว่าฯ จะให้ความสำคัญกับมันมากขึ้น ส่วนเล็กๆ สำคัญไม่แพ้ส่วนที่มีขนาดใหญ่

ถ้าไปดูในเว็บของชัชชาติ จะมีแนวคิด “นโยบายรายเขต” เพราะกรุงเทพ ไม่สามารถเอานโยบายอย่างเดียวกันไปครอบทุกอย่างได้ แต่เขตไหนๆ ก็จำเป็นต้องมีแนวทางของตัวเองโดยเฉพาะ ซึ่ง Voter หลายคน รู้สึกว่าแนวคิดเหล่านี้ เป็นการให้ความสำคัญกับชุมชน ไม่ได้โฟกัสแต่อะไรที่ยิ่งใหญ่เกินไป ดังนั้นจึงรู้สึกเป็นบวกกับชัชชาติโดยอัตโนมัติ

[ 9- มีฐาน Social Network ที่แข็งแกร่งมาก ]

ในบรรดาผู้สมัครทั้งหมด ชัชชาติ มีเฟซบุ๊กที่มีคนติดตามสูงสุด มากกว่า 960,000 คน โดยเฟซบุ๊กนั้น สามารถนำเสนอนโยบาย แนวคิด และช่วยเรื่องการหาเสียงได้ มีผู้สมัครบางท่าน ที่สนใจแต่การลงพื้นที่ โดยละเลยโลกออนไลน์ ทำให้เสียคะแนนตรงจุดนี้ไปโดยปริยาย

ทีมงานกราฟฟิกของชัชชาติ ก็ฉลาด และมีความคิดสร้างสรรค์ ตอนชัชชาติ จับสลากได้เบอร์ 8 ก็ออกแบบชื่อใหม่ เป็น ชัช8าติ ทันที

มีการวาดการ์ตูนเล่านโยบายให้ฟังแบบเข้าใจง่าย มีการทำกราฟฟิกให้ความรู้เรื่องการเลือกตั้งคือบางอย่างก็ไม่ได้ทำมาหาเสียงด้วยซ้ำ รวมถึงมีการทำแอนิเมชั่นสวยๆ อย่งต่อเนื่อง ขณะที่เว็บไซต์ก็ไม่ได้ปล่อยให้รกร้าง มีอัพเดทข้อมูลใหม่ๆ อยู่ตลอด

โลกยุคนี้ คือยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก ถ้าผู้ว่ากรุงเทพยังตามโลกไม่ทัน ตามเด็กรุ่นใหม่ไม่ทัน แล้วเมืองจะเดินหน้าไปยังไง จุดนี้ทำให้ชัชชาติได้คะแนนไปเพิ่มกับการรู้จัก “เล่น” กับโลกออนไลน์

[ 10- นี่คือการเดิมพันสุดท้ายในโลกการเมือง ]

ชัชชาติเคยประกาศว่า ถ้าแพ้เลือกตั้งผู้ว่ากทม. ครั้งนี้ เขาตอบว่า “ผมอายุ 55 ปี จะ 60 แล้ว ถ้าแพ้เลือกตั้ง แสดงว่าประชาชนเขาบอกวาอย่าทำ แล้วจะฝืนทำต่อไปทำไม อย่าไปคิดว่าโลกขาดเราไม่ได้ ถ้าประชาชนไม่อยากได้เรา เราก็ควรจะพอ มีอย่างอื่นอีกเยอะในชีวิตที่เราสามารถทำได้ อย่าไปคิดว่าโลกขาดเราไม่ได้”

ประชาชนจำนวนมาก เห็นศักยภาพของชัชชาติดีมากพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตได้ ดังนั้นถ้าหากเขาเลิกเล่นการเมืองไปตั้งแต่ตอนนี้ ประเทศไทยก็จะขาดแคลนบุคลากรคุณภาพที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศทันที

ดังนั้น การเดิมพันของชัชชาติ กับการต่อสู้ผู้ว่ากรุงเทพ เขาทุบหม้อข้าวหม้อแกงแล้วทุ่มกำลังทั้งหมดที่มี และประชาชนก็ตอบแทนความแน่วแน่ของเขา ด้วยรางวัล Landslide ครั้งนี้นี่เอง

ด้วยคะแนนเสียงที่ชนะถล่มทลาย เป็นการส่งเสียงของประชาชนว่า อยากให้ชัชชาติได้ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ 4 ปี ต่อจากนี้
และเราก็ต้องติดตามกันว่า เมื่อเขาได้รับโอกาสแล้ว จะสามารถใช้มันได้อย่างคุ้มค่ากับคะแนนเสียงแบบ Landslide ครั้งนี้หรือไม่

*หมายเหตุ โพสต์นี้ได้รับการปรับปรุงเนื้อหาเพื่อความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า