Andy Stone หัวหน้าฝ่ายการสื่อสารของ Meta ออกมาเผยว่า Facebook จะถูกบังคับให้ลบข่าวออกจาก Facebook ในสหรัฐฯ หากสภาคองเกรสผ่านกฎหมาย Journalism Competition and Preservation Act (JCPA) หรือกฎที่กำหนดให้แพลตฟอร์ม (รวมถึง Facebook) ต้องเจรจาและทำการชดเชยให้กับบริษัทผลิตเนื้อหาข่าว
เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องจับตามอง และอาจไม่ใช่เพียงคำขู่ เพราะ Facebook เคยปิดกั้นการมองเห็นและแชร์ข่าวในออสเตรเลียทั้งประเทศมาแล้ว
ผลของเหตุการณ์นั้นคือความโกลาหล ผู้ใช้งานมองไม่เห็นข่าวสารจากสำนักข่าวใดๆ ผ่าน Facebook (เว้นแต่จะเข้าไปอ่านที่เว็บไซต์ข่าวโดยตรง) ส่วนสำนักข่าว ก็แชร์เนื้อหาตัวเองไม่ได้
ก่อนจะไปดูรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มาดูจุดประสงค์ของกฎหมายกันก่อน
[ จุดประสงค์ของกฎหมาย ]
จุดประสงค์ของ Journalism Competition and Preservation Act (JCPA) คือปกป้องวงการสื่อสารมวลชนในยุคโซเชียลมีเดีย ที่ถูกบังคับให้ทำยอดไลค์ยอดแชร์ และทำยอดขายโฆษณาเพื่อให้อยู่รอด
นอกจากนี้โซเชียลมีเดียยังเป็นปัจจัยสำคัญที่มา disrupt บริษัทสื่อเล็กๆ และที่สำคัญคือสื่อท้องถิ่น ให้ล้มหายตายจากไปหลายรายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ฝ่ายรัฐบาลจึงพยายามออกแบบกฎหมายควบคุมอำนาจเจ้าของแพลตฟอร์ม ที่กินรวบตลาดโฆษณาออนไลน์อย่าง Google และ Facebook เพื่อให้วงการสื่อสารมวลชนอยู่ได้ และไม่ใช่เพียงในสหรัฐ แต่ออสเตรเลีย แคนาดา ก็พูดถึงกฎหมายทำนองนี้มานานแล้ว
โดยในปี 2021 ที่ผ่านมา สภาคองเกรส สหรัฐฯ ประชุมแผนร่างกฎหมายดังกล่าว และได้รับการสนับสนุนจาก ส.ส. ทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต เพราะแม้แต่นักการเมืองเอง ก็ได้รับผลกระทบจากการสื่อสารในโซเชียลมีเดียไม่น้อย เพราะนักการเมืองขาดพลังของสื่อท้องถิ่น ที่จะสื่อสารไปยังคนทุกกลุ่มได้
ขั้นตอนของกฎหมาย JCPA ผ่านการลงมติในสภาคองเกรสด้วยคะแนนเสียง 15 ต่อ 7 แต่ก็ยังต้องผ่านวุฒิสภาเต็มรูปแบบอีกทีหนึ่ง
[ ข้อกังวลต่อกฎหมาย ]
หากกฎหมายนี้ผ่าน แน่นอนว่ากระทบธุรกิจหลักของแพลตฟอร์มออนไลน์โดยตรง คือภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้สำนักข่าว
ซึ่งเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ Facebook ที่รัดเข็มขัด เลย์ออฟพนักงาน ทำให้ Facebook ต้องออกมาค้านสุดตัว
อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่ต้องคิดต่อและน่าจะยากกว่าแค่การจ่ายเงิน คือการกลั่นกรองเนื้อหาบนหน้าฟีด
เพราะไม่มีใครนึกภาพออกว่าจะเกิดอะไรกับสื่อที่ได้รับเงินจากแพลตฟอร์มไป เนื้อหาของพวกเขาจะมีพื้นที่มากขึ้น จนบดบังสื่อที่เล็กกว่าหรือไม่ และมันจะกลายเป็นไปเพิ่มอำนาจสื่อใหญ่ที่มีกำลังในการผลิตมากกว่าหรือไม่
นอกจากตัว Facebook เองที่ต้านร่างกฎหมาย JCPA ยังมีองค์กรภาคสังคมจนถึงตอนนี้ 26 องค์กร เช่น Public Knowledge และ Electronic Frontier Foundation เขียนจดหมายถึงฝ่ายนิติบัญญัติ ต้านร่างกฎหมายดังกล่าว
เหตุผลหลักๆ ที่ฝั่งต่อต้านนำมาใช้คือ
– กฎหมายนี้บีบให้บริษัทสื่อต้องเข้าร่วมการเจรจากับแพลตฟอร์ม โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพ และความรุนแรงของเนื้อหา
– กระทบมาตรฐานชุมชนที่ใช้คัดกรองเนื้อหา เพิ่มปริมาณข้อมูลบิดเบือน และ Hate Speech
– แทนที่จะให้อำนาจสื่อเล็ก กฎหมายนี้อาจเพิ่มอำนาจสื่อใหญ่แทน เพราะมีกำลังคนมากกว่า มีอำนาจการต่อรองมากกว่า
ย้อนกลับไปที่แถลงการณ์ของ Andy Stone หัวหน้าฝ่ายการสื่อสารของ Meta เขาบอกด้วยว่า “ไม่ควรมีบริษัทใด ถูกบังคับให้จ่ายเงินสำหรับเนื้อหาที่ผู้ใช้ไม่ต้องการดู และนั่นก็ไม่ใช่แหล่งรายได้ที่มีความหมาย”
“พูดง่ายๆ ก็คือ กฎหมายนี้ กำหนดให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ต้องให้เงินอุดหนุนแก่หน่วยงานเอกชนอื่นๆ อีกหลายแห่ง ถือเป็นแบบอย่างที่น่ากลัวสำหรับธุรกิจอเมริกันทั้งหมด”
[ ย้อนรอยความวุ่นวายในออสเตรเลีย ]
วันที่ 18 ก.พ. 2021 Facebook ปิดกั้นสื่อและผู้ใช้งานในออสเตรเลียจากการการมองเห็นและแชร์ข่าว เพราะรัฐบาลบังคับใช้กฎหมายในทำนองเดียวกันคือ News Media Bargaining Code โดย Facebook เผยตอนนั้นว่าตนไม่มีทางเลือก
ส่ิงที่เกิดขึ้นคือ ผู้ผลิตเนื้อหาและสำนักข่าวในออสเตรเลีย ไม่สามารถแชร์ หรือโพสต์เนื้อหาใดๆ บนเพจได้ แอดมินยังใช้งานเครื่องมือหลังบ้าน Page insights, Creator Studio, CrowdTangle ได้ แต่ผู้ใช้งานชาวออสเตรเลียจะไม่สามารถแชร์ลิงก์และโพสต์ข่าวได้เลย สร้างความปั่นป่วนอย่างมาก
จนสุดท้าย รัฐบาลออสเตรเลียยอมผ่อนปรนกฎหมาย จน Facebook กู้คืนการมองเห็นและแชร์ข่าวกลับมาเหมือนเดิม
ดังนั้น จึงไม่เป็นที่สงสัยว่า Facebook จะทำอย่างไร ถ้าสหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย JCPA ขึ้นมาจริงๆ เพราะมันได้รับการพิสูจน์ที่ออสเตรเลียแล้วว่า Facebook รันธุรกิจแพลตฟอร์มต่อได้ ไม่ต้องพึ่งพาเนื้อหาสำนักข่าว กลับกลายเป็นสำนักข่าวต่างหาก ที่อาจนั่งไม่ติด ถ้าวันหนึ่งไม่สามารถแพร่เนื้อหาผ่าน Facebook ได้
ที่มา : The Verge, Public Knowledge