SHARE

คัดลอกแล้ว

ชัยชนะของฝ่ายขวา-ขวาจัดในฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศในยุโรป หลังการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปเมื่อวันที่ 6-9 มิถุนายนที่ผ่านมา สะท้อนว่า กระแสประชานิยมจากฝ่ายขวาและขวาจัดในยุโรปกำลังค่อยๆ กลับมา คำถามสำคัญคือ ยุโรปกำลังจะหันขวาจริงหรือไม่?

 

[ชัยชนะของมารีน เลอ แปน ในฝรั่งเศส: การกลับมาของขวาประชานิยม]

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักข่าวเกือบทุกสำนักทั่วโลกพร้อมใจกันพาดหัวข่าวการที่เอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสแถลงข่าวยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ในช่วงปลายเดือนนี้ หลังจากเขาเพิ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาได้เพียง 2 ปีเท่านั้น หรืออาจเรียกได้ว่ายังไม่ถึงครึ่งสมัยด้วยซ้ำ

สาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การยุบสภาแบบฟ้าผ่าคือ ชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปของพรรค National Rally ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดของฝรั่งเศส ภายใต้การนำของมารีน เลอ แปน  อดีตคู่ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของมาครงในศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2022

พรรค National Rally ของมารีน เลอ แปน ได้คะแนนจากประชาชนฝรั่งเศสไปถึงร้อยละ 31.37 หรือคิดเป็นจำนวนที่นั่งในรัฐสภายุโรป 30 ที่นั่งจากโควตา 81 ที่นั่งของฝรั่งเศส ขณะที่พรรคแนวร่วมของประธานาธิบดีมาครงได้ที่นั่งเพียงร้อยละ 14.5 หรือ 13 ที่นั่งเท่านั้น เรียกได้ว่าน้อยกว่าแบบครึ่งต่อครึ่ง

ผลการเลือกตั้งที่ออกมานี้สะท้อนให้เห็นถึงกระแสความนิยมฝ่ายขวาจัดและประชานิยมที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่พอใจต่อนโยบายของประธานาธิบดีมาครง เช่น การเพิ่มเพดานอายุการเกษียณอายุของคนฝรั่งเศส ที่ผู้นำฝรั่งเศสใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญโดยไม่ต้องลงคะแนนเสียงในรัฐสภา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคว่ำร่างกฎหมายโดยรัฐสภาที่ต้องฟังเสียงประชาชนที่คอยคัดค้าน

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องความล้มเหลวของรัฐบาลฝรั่งเศสในการจัดการกับวิกฤตค่าครองชีพและวิกฤตเงินเฟ้อในประเทศ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากสงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นในยูเครนตั้งแต่ปี 2022 ที่ผ่านมา

 

[เมื่อยุโรปค่อยๆ หันขวา หลังแนวร่วมขวาและขวาจัดได้ที่นั่งเพิ่ม]

อย่างไรก็ดี ชัยชนะของพรรค National Rally ไม่เพียงแต่สะท้อนภาพการเมืองและการกลับมาของฝ่ายขวาในฝรั่งเศสเท่านั้น แต่อาจจะฉายภาพการเมืองในยุโรปที่ค่อยๆ เอียงขวาด้วยเช่นกัน

เพราะถ้าไปดูผลการเลือกตั้งสมาชิก EU จะเห็นได้ชัดว่าฝ่ายขวาได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2019 โดยแนวร่วมฝ่ายขวาและขวาจัดได้ที่นั่งรวมกันเพิ่มขึ้นถึง 13 ที่นั่ง ขณะที่พรรคฝ่ายซ้ายและกลางซ้ายได้ที่นั่งลดลงไปถึง 42 ที่นั่ง

โดยประเทศที่พรรคการเมืองฝ่ายขวาของยุโรปคว้าชัยการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปจนทำให้ที่นั่งในรัฐสภายุโรปเพิ่มขึ้น คือ อิตาลี

พรรค Fratelli d’Italia (FDI) พรรคฝ่ายขวาที่ได้รับการสนับสนุนโดยจอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ได้คะแนนเสียงจากประชาชนไปถึงร้อยละ 28.76 หรือ คิดเป็น 24 ที่นั่งในรัฐสภายุโรป

นอกจากฝรั่งเศสและอิตาลี หลายประเทศ เช่น เยอรมนี ฮังการี และเนเธอร์แลนด์ ก็เป็นชาติที่มีฝ่ายขวาทะยานขึ้นมา คว้าอันดับ 2 หรือ 3 ชิงเก้าอี้ในรัฐสภายุโรปจากฝ่ายกลางซ้ายหรือฝ่ายซ้ายไปได้หลายที่นั่ง

นี่คือการเพิ่มอำนาจต่อรองในรัฐสภายุโรปให้กับแนวร่วมขวาและขวาจัดอย่าง Conservatives and Reformists และ Identity and Democracy

โดยแนวร่วมขวาจัดอย่าง Identity and Democracy ซึ่งเป็นแนวร่วมที่พรรคของมารีน เลอ แปน จะเข้าไปร่วมกลุ่มในอนาคต ทะยานขึ้นมาอย่างโดดเด่นและคว้าที่นั่งในรัฐสภาไปถึง 58 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2019 มาถึงร้อยละ 8.1

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝ่ายขวาเริ่มกลับมามีบทบาทในยุโรปคือ ปัญหาสงครามที่ยืดเยื้อในยูเครนจนทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราค่าครองชีพและเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปัญหาผู้ลี้ภัยจากตะวันออกกลางและแอฟริกา

หลายฝ่ายมองว่า การค่อยๆ กลับมามีชีวิตของฝ่ายขวาในฝรั่งเศสและเยอรมนี รวมถึงหลายที่ในยุโรป เป็นสัญญาณที่ค่อนข้างอันตรายสำหรับทวีปที่ใช้เวลากว่า 80 ปีหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ในการปราบผีขวาจัดหรือลัทธิฟาสซิสต์ หลังจากต้องเผชิญกับสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมนุษยชาติล้มตายไปกว่า 50 ล้านคน

 

[ฝ่ายขวาจริงหรือไม่: ชัยชนะของฝ่ายกลางขวาที่ไม่ถูกพูดถึง]

แต่คำถามสำคัญคือ การเริ่มหันขวาของยุโรปจะส่งผลอย่างไรต่อรัฐสภาและการเมืองยุโรป และสรุปแล้วยุโรปหันขวาไปมากน้อยแค่ไหนกันแน่

การที่สื่อของชาติตะวันตกพยายามประโคมข่าวชัยชนะของมารีน เลอ แปน อาจทำให้การกลับมาของฝ่ายขวาในยุโรปดูน่ากังวล แต่ในความเป็นจริงนั้น การได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นของแนวร่วมฝ่ายขวา ไม่เท่ากับชัยชนะของฝ่ายขวา

เพราะเมื่อไปดูผลการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปจะพบว่า จาก 27 ชาติในสหภาพยุโรป พรรคฝ่ายขวาสามารถชนะเป็นที่หนึ่งได้ใน 5 ประเทศเท่านั้น และได้ที่สองหรือสามในอีก 5 ประเทศ แต่ในอีก 17 ประเทศสมาชิก EU ชัยชนะยังเป็นของพรรคเสรีนิยมและพรรคฝ่ายซ้าย

ถ้าไปดูผลการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปก็จะพบว่า แนวร่วมที่ได้รับชัยชนะจริงๆ ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาครั้งนี้ แต่ไม่ค่อยถูกพูดถึง คือ European People’s Party ซึ่งเป็นกลุ่มเดิมที่ชนะการเลือกตั้งในปี 2019

ขณะเดียวกัน ถ้าดูจากสัดส่วนและการรวมตัวในรัฐสภายุโรปก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า กลุ่มที่จะปกครองและออกนโยบายให้แก่ชาติสมาชิกสหภาพยุโรปจะยังคงเป็น European People’s Party (กลุ่มกลางขวา) Socialists and Democrats (กลุ่มกลางซ้าย) และ Renew group(กลุ่มกลางหรือเสรีนิยม)  ที่มีคะแนนเสียงในรัฐสภายุโรปร่วมกันถึง 406 ที่นั่งจาก 720 ที่นั่ง หรือร้อยละ 56 เพียงพอต่อการผ่านร่างกฎหมายและงบประมาณที่สำคัญๆ

ในขณะที่พรรคฝ่ายขวาและฝ่ายขวาจัดในยุโรปอย่าง European Conservatives and Reformists Group และ  Identity and Democracy Group มีที่นั่งรวมกันเพียง 134 ที่นั่งเท่านั้น

นอกจากนี้ แม้ว่า Conservatives and Reformists Group และ Identity and Democracy Group จะเป็นแนวร่วมฝ่ายขวาเหมือนกัน แต่ทั้งสองกลุ่มเป็นขวาที่มีอุดมการณ์ต่างกัน หากเปรียบเทียบก็คือเป็นสีคนละเฉด โดย Identity and Democracy Group จะเป็นกลุ่มขวาจัดหรือเป็นสีที่เข้มกว่ากลุ่ม Conservatives and Reformists Group

ที่สำคัญไปกว่านั้น Conservatives and Reformists Group ซึ่งเป็นแนวร่วมของจอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี มีแนวโน้มที่จะร่วมมือกับกลุ่มที่ปกครองรัฐสภายุโรปในปัจจุบัน เช่น การร่วมลงคะแนนเสียงเพื่อออกนโยบายจำกัดผู้ลี้ภัยที่ข้ามจากตูนิเซียเข้ามายังเกาะลัมเปดูซาของอิตาลี

นี่ทำให้การผนึกกำลังระหว่างฝ่ายขวาด้วยกันเองไม่ใช่เรื่องที่ง่าย และถ้าเทียบกับการผนึกกำลังของฝ่ายกลางขวาที่ปกครองยุโรปในปัจจุบัน อาจจะเรียกได้ว่าฝ่ายขวายังคงห่างไกลจากความพยายามในการควบคุมรัฐสภายุโรป

อย่างไรก็ดี แม้ฝ่ายขวาและขวาจัดจะไม่มีอำนาจในรัฐสภายุโรปมากพอ แต่องค์การความร่วมมือที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ไม่ได้บริหารโดยรัฐสภายุโรปเพียงแห่งเดียว แต่ยังมีอีกขาบริหารที่สำคัญคือ คณะมนตรียุโรป (European Council) ซึ่งเป็นเวทีการประชุมของประมุขแห่งรัฐ/ผู้นำรัฐบาลของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป

การที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปมีกระแสเอียงขวามากขึ้นจนนำไปสู่ชัยชนะของพรรคฝ่ายขวาในประเทศ จะทำให้ผู้นำฝ่ายขวาเหล่านั้นใช้คณะมนตรียุโรปเป็นอำนาจสำคัญในการสกัดนโยบายสำคัญๆ ที่ออกโดยรัฐสภา คณะกรรมาธิการยุโรป หรือ คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้ยุโรปอ่อนแอจากภายใน

สำหรับในระยะสั้น พรรคฝ่ายขวาของบางชาติในยุโรปอาจใช้อำนาจคณะมนตรียุโรปเพื่อลงคะแนนเสียงสนับสนุนประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งจะเป็นผู้ควบคุม บริหาร จัดการ และพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติสมาชิก EU โดยถ้าผู้นำหรือประมุขของประเทศใดประเทศหนึ่งไม่เห็นชอบการสนับสนุนคณะกรรมาธิการยุโรป ผู้ที่ลงสมัครทั้งหมด 28 คน (ประธานคณะกรรมาธิการ 1 คน และกรรมาธิการอีก 27 คน) จะไม่สามารถเข้าสู่ตำแหน่งได้

ส่วนในระยะยาว กลุ่มพรรคฝ่ายขวาและฝ่ายขวาจัดทั้งในระดับผู้นำประเทศและรัฐสภายุโรปอาจใช้ช่องว่างที่ยุโรปซึ่งบริหารโดยกลุ่มฝ่ายขวาไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่เพื่อโจมตีและหาเสียงในการเลือกตั้งวาระถัดไป หรือสกัดนโยบายที่สำคัญๆ โดยเฉพาะการผ่านงบประมาณให้ความช่วยเหลือยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย ดังที่ได้เห็นจากความพยายามของนายกรัฐมนตรีวิกเตอร์ ออร์บานของฮังการี ที่ลงมติวีโตร่างความช่วยเหลือยูเครนจนต้องทำให้เกิดการเจรจานอกรอบ หรือการจะรับชาติสมาชิกอียูเพิ่มก็อาจถูกสกัดโดยเกมการเมืองของผู้นำชาติฝ่ายขวาที่จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในอนาคต

โดยสรุปแล้ว ชัยชนะในเวทีรัฐสภายุโรปของฝ่ายขวาในฝรั่งเศส ฮังการี หรือการค่อยๆ ขึ้นมาของฝ่ายขวาในเยอรมนี และอิตาลี เป็นสัญญาณเริ่มต้นของการคืนชีพของฝ่ายขวาหรือการหันขวาแบบเล็กน้อยของการเมืองยุโรปและยังไม่น่ากังวลในระยะสั้น เพราะสิ่งนี้ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการหันขวาได้อย่างสมบูรณ์ เพราะชาติในยุโรปส่วนใหญ่ยังอยู่ในปีกการเมืองแบบเสรีนิยมและฝ่ายเสรีนิยมกึ่งซ้าย

แต่สัญญาณการขึ้นมาของฝ่ายขวาในชาติยุโรปเป็นสิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะผู้นำฝ่ายขวาของชาติเหล่านี้อาจใช้หลักฉันทามติของยุโรปในการแทรกแซงบางนโยบายที่สำคัญ ซึ่งถือเป็นความท้าทายระบบความร่วมมือทวิภาคีที่เป็นรากฐานของยุโรป

นอกจากนี้ การขึ้นมาของฝ่ายขวาอาจเป็นโจทย์สำคัญสำหรับพรรคการเมืองฝ่ายเสรีนิยมและซ้ายเพื่อหาทางรับมือกับการเมืองขวาที่จะเกิดขึ้นในอีก 4-5 ปีข้างหน้า

เพราะถ้าฝ่ายกลางและซ้ายทำไม่สำเร็จ การเลือกตั้งในระดับชาติต่างๆ หรือแม้แต่ในรัฐสภายุโรป อาจทำให้ยุโรปหันขวาและก้าวไปสู่อนาคตที่ไม่แน่นอนกว่าที่เคยเป็นมา

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า