ไทยเร่งเจรจาสิทธิบัตร ‘ฟาวิพิราเวียร์’ เพื่อผลิตเองในประเทศ เพิ่มความมั่นคงเวชภัณฑ์ยา

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย ไทยเร่งเจรจาสิทธิบัตร ‘ยาฟาวิพิราเวียร์’ เพื่อผลิตในประเทศ เพิ่มความมั่นคงเวชภัณฑ์ยา พร้อมพิจารณาเปิดช่องทางประชาชนร่วมแก้ไขสถานการณ์โควิด-19

วันที่ 28 เม.ย. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมติดตามความคืบหน้าการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 อย่างใกล้ชิด รับฟังประเด็นที่ยังเป็นปัญหาและมีข้อสั่งการให้แก้ไขให้เร็วที่สุด พร้อมกับย้ำกับหน่วยงานที่รับผิดชอบการดูแลจัดหายาและเวชภัณฑ์อื่น ๆ ให้เพียงพอ

ส่วนของยารักษาโรคโควิด-19 นั้น ล่าสุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ทราบว่าหลังจากสั่งยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 จากญี่ปุ่นเข้ามาให้เพียงพอต่อการใช้ในประเทศ ขณะนี้ได้กระจายไปยังหน่วยบริการต่าง ๆ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนทั่วประเทศแล้ว และอยู่ระหว่างให้องค์การเภสัชกรรมเร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อเจรจาเกี่ยวกับสิทธิบัตร เพื่อให้ได้สิทธิผลิตยาชนิดนี้ในประเทศไทยได้เอง ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนยังสามารถนำเข้ายาชนิดนี้ได้ รัฐไม่ได้ผูกขาดการนำเข้า

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายอนุทินแจ้งกับครม.ว่าองค์การเภสัชกรรมกำลังดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อให้ได้สิทธิยาฟาวิพิราเวียร์เข้ามาผลิตในประเทศ เนื่องจากยามีสิทธิบัตรในต่างประเทศ จึงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เมื่อได้แล้วจะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงในส่วนของเวชภัณฑ์ยามากขึ้น

สำหรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 นายกรัฐมนตรีย้ำว่าจะต้องจัดหาวัคซีนที่ได้มาตรฐานให้มากที่สุด โดยไม่ได้จำกัดผู้ผลิตว่าต้องเป็นรายใด และให้กระจายวัคซีนให้ทั่วถึงประชาชนตามแผนที่วางไว้ กระจายไปให้ทุกจังหวัดทั้งรัฐและเอกชน โดยให้โรงพยาบาลเอกชนช่วยกระจายวัคซีน ดูแลระบบการให้วัคซีนให้มีประสิทธิภาพ ไม่ให้เกิดปัญหาระบบล่ม

โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่าขณะนี้มีประชาชนหลายภาคส่วนต้องการมีส่วนร่วมช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของบุคลากรสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงให้พิจารณาว่าจะเปิดช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมช่วยเหลือ เร่งแก้ไขสถานการณ์นี้ได้อย่างไร พร้อมขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ และกำชับเจ้าหน้าที่ ให้เอาจริงเอาจังกับการฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค