Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

‘ฟิทช์ เรทติ้งส์’ บริษัทจัดอันดับเครดิต ประกาศคงเครดิตพินิจ (Rating Watch) ของ DTAC เป็นลบที่ระดับ A+(tha) จากประเด็นควบรวมกิจการกับ TRUE เพราะคาดว่าอันดับเครดิตของบริษัทใหม่ที่ควบรวมจะอ่อนแอกว่า DTAC

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงเครดิตพินิจเป็นลบ (Rating Watch Negative) ต่ออันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ซึ่งอยู่ที่ ‘A+(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-Term Rating) ซึ่งอยู่ที่ ‘F1(tha)’

ฟิทช์ได้นำอันดับเครดิตของ DTAC เข้าสู่เครดิตพินิจเป็นลบ (Rating Watch Negative) ในวันที่ 28 ก.พ. 2565 หลังจากที่คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติ ให้บริษัทฯ เข้าทําสัญญาควบรวมกิจการกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ TRUE ซึ่งเป็นบริษัทลูกของเครือเจริญโภคภัณฑ์

ฟิทช์จะพิจารณายกเลิกเครดิตพินิจ หลังจากที่การควบรวมกิจการแล้วเสร็จ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 DTAC ได้รับหนังสือจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ แจ้งการรับทราบการรวมธุรกิจระหว่างบริษัทฯ และ TRUE โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการประเมินเงื่อนไขที่มีการกำหนดต่อบริษัทที่จะมีการจัดตั้งใหม่

เครดิตพินิจเป็นลบสะท้อนมุมมองของฟิทช์ที่ว่า อันดับเครดิตของบริษัทที่จะมีการจัดตั้งใหม่ หรือ NewCo น่าจะอ่อนแอกว่าอันดับเครดิตของ DTAC ก่อนที่จะมีการควบรวมกิจการ โดยฟิทช์มองว่าสถานะทางการตลาด และการกระจายตัวของการให้บริการที่ดีขึ้น อาจไม่เพียงพอในการชดเชยสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงจากอัตราส่วนหนี้สินที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของ NewCo จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาผลกระทบจากการควบรวมกิจการ เมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงนโยบายทางการเงินหลังการควบรวมกิจการด้วย ซึ่งถ้ามีการพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต ก็ไม่น่าจะเกินหนึ่งอันดับ

[ ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต ]

การควบรวมกิจการเพิ่มความแข็งแกร่งสถานะทางธุรกิจ: การควบรวมกิจการดังกล่าวน่าจะให้ประโยชน์ร่วมกันในระยะยาวแก่ DTAC และ TRUE ในการแข่งขันด้านราคาในการให้บริการด้านข้อมูล และความสามารถในการรองรับการให้บริการของโครงข่าย

การควบรวมกิจการจะทำให้สถานะทางการตลาดของ NewCo แข็งแกร่งขึ้น และกลายเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มากกว่า 50% จากส่วนแบ่งทางการตลาดของ TRUE ที่ 31% และ DTAC ที่ 22% ในปี 2564

นอกจากนี้ จำนวนคลื่นความถี่ที่มากขึ้นจะทำให้ NewCo แข่งขันกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ซึ่งมีอันดับเครดิต ‘AA+(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ได้ดียิ่งขึ้น

อัตราส่วนหนี้สินของ NewCo ที่สูงขึ้น: ฟิทช์มองว่าสถานะทางการตลาดที่ปรับตัวดีขึ้นของ DTAC อาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยอัตราส่วนหนี้สินที่สูงขึ้นของ NewCo     ฟิทช์ประมาณการว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของ NewCo จะอยู่ที่ระดับประมาณ 4 เท่า หลังจากมีการควบรวมกิจการ

โดย EBITDA ของ DTAC ในปี 2564 อยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท และมีอัตราส่วน EBITDA net leverage ที่ 2.5 เท่า ในขณะที่ TRUE มี EBITDA ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท และมีอัตราส่วน EBITDA net leverage ที่ 4.7 เท่า

การแข่งขันที่รุนแรงน้อยลงในระยะยาว: ฟิทช์เชื่อว่าการควบรวมกิจการจะช่วยให้ค่าบริการในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีเสถียรภาพมากขึ้น และสนับสนุนการทำกำไร ในระยะยาว

การแข่งขันด้านราคาสำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปี 2565 ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยสภาพการดำเนินธุรกิจที่ท้าทายจากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส ทำให้มีการแข่งขันด้านราคาเป็นระยะๆ เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด

ฟิทช์คาดว่าการควบรวมกิจการน่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานได้มากขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับว่ากระบวนการควบรวมการดำเนินงาน และโครงข่ายของทั้งสองบริษัทจะดีและเร็วมากแค่ไหน

[ การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป ]

อันดับเครดิตที่ ‘A+(tha)’ ของ DTAC สะท้อนถึงสถานะเครดิตโดยลำพัง จากขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า และอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่าคู่แข่ง ซึ่งได้แก่ AIS อย่างไรก็ตาม การควบรวมกิจการระหว่าง DTAC และ TRUE หากเสร็จสิ้น จะเพิ่มความแข็งแกร่งของสถานะทางการตลาดของ NewCo ในฐานะผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ประมาณการอัตราส่วนหนี้สินของ NewCo ยังคงสูงกว่าของ AIS อย่างมาก แม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินของ NewCo ในอนาคตยังคงขึ้นอยู่กับนโยบายทางการเงินหลังการควบรวมกิจการ

ฟิทช์มองว่าสถานะทางเครดิตของ DTAC อยู่ในระดับเดียวกันกับ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ซึ่งมีอันดับเครดิต ‘A+(tha)’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ

ฟิทช์มองว่า SCC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า DTAC เนื่องจากเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีกระแสเงินสดที่ใหญ่กว่า และมีการกระจายตัวของธุรกิจที่มากกว่า ในธุรกิจเคมี และผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์  ปัจจัยดังกล่าวช่วยลดทอนอัตราส่วนหนี้สินของ SCC ที่สูงกว่า ดังนั้นบริษัททั้งสองจึงมีอันดับเครดิตเท่ากัน

[ สมมุติฐานที่สำคัญ ]

– การเติบโตของรายได้ของ DTAC อยู่ที่ประมาณ 2.5% ในปี 2566 สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ช้าของเศรษฐกิจไทย

​ การควบรวมกิจการแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 โดยการประมาณการด้านการเงินของ NewCo จะมาจากงบการเงินของ DTAC และ True ปี 2564 โดยคาดว่ารายได้ของ NewCo จะเติบโต 2-3% หลังจากการควบรวมกิจการ

– อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้ (EBITDA margin) อยู่ที่ 36% ในปี 2565 และ 2566 ใกล้เคียงกับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ที่ 36.1% ฟิทช์คาดว่า NewCo จะมี EBITDA margin ที่ 32-33%

​ ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนต่อรายได้ โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายในการชำระค่าคลื่นความถี่ของ NewCo อยู่ที่ 19-22% ในปี 2566 และ 2567

​ ฟิทช์คาดว่า NewCo จะจ่ายเงินปันผลประมาณ 8 พันล้านต่อปี ในปี 2566-2567

[ ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต ]

ปัจจัยบวก: ฟิทช์อาจปรับเพิ่มอันดับเครดิตจากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) จากแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจากความสัมพันธ์กับ Telenor หากมีการยกเลิกการควบรวมกิจการ และ Telenor ให้คำมั่นสัญญาว่าจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมใน DTAC โดยที่แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจากความสัมพันธ์ด้านกลยุทธ์ไม่เปลี่ยนแปลง

ปัจจัยลบ: ฟิทช์อาจปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศของ DTAC หนึ่งอันดับ โดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาสถานะทางเครดิตของ NewCo ซึ่งรวมถึงความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย และสถานะทางการเงินหลังการควบรวมกิจการที่อ่อนแอลง ฟิทช์คาดว่าจะทำการพิจารณายกเลิกเครดิตพินิจ หลังจากการควบรวมกิจการแล้วเสร็จและทราบถึงนโยบายทางการเงินของ NewCo

สภาพคล่องที่บริหารจัดการได้: ฟิทช์มองว่าสภาพคล่องของ DTAC สามารถบริหารจัดการได้ในปี 2566 โดยสภาพคล่องของ DTAC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 5.9 พันล้านบาท และวงเงินกู้ที่สามารถเบิกถอนได้จำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2565 และความสามารถในการเข้าถึงตลาดเงินกู้ภายในประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทมีหนี้จำนวน 8 พันล้านบาท ที่ถึงกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจากเดือน ก.ย. 2565

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า