ศรีสุวรรณ จี้จับ นศ. ชุมนุม ผิดหลายคดี-เสรีพิศุทธ์ ชี้ ประยุทธ์ ควรฟังแล้วคิด

ผลต่อเนื่องหลังการชุมนุมกลุ่มเยาวชนปลดแอก เสรีพิศุทธ์ ฝ่ายเห็นด้วยมองว่าแม้จะฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ต้องดูเจตนาประกอบ  ส่วน ศรีสุวรรณ ไล่เรียงข้อกฎหมายชี้ผิดหลายเรื่อง ตำรวจต้องตามตัวทุกคนที่ขึ้นเวทีจับไมโครโฟนมาดำเนินคดี

วันที่ 19 ก.ค. 2563 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย  กล่าวถึง การจัดกิจกรรม ‘ไม่ทนอีกต่อไป’ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ของ กลุ่มเยาวชนปลดแอก – FreeYouth และสหภาพนักเรียนนิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) เพื่อเรียกร้องให้ยุบสภา, หยุดคุกคามประชาชน และ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ว่า เเสดงว่าเยาวชนไม่อดทนเเล้ว เเม้จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาบอกว่าอาจผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินเเละกฎหมายอื่นๆ เเต่เยาวชนเเละประชาชนหลายพันคนก็ยังออกมาชุมนุมเพื่อประชาธิปไตยเเละยุติการชุมนุมโดยสงบ

“เมื่อวานนี้ นายภาณุพงศ์ จาดนอก และนายณัฐชนน พยัฆพันธ์ 2 นักศึกษาที่ยืนถือป้ายต้อนรับนายกรัฐมนตรีที่จ.ระยอง เมื่อไม่กี่วันก่อนแต่ตำรวจไม่ให้รอต้อนรับ และถูกตำรวจนำตัวออกไปพวกเขามาพบผม หารือเกี่ยวกับการใช้อำนาจของตำรวจ ผมก็ให้กำลังใจเเละจะรับเรื่องนี้มาดู ผมขอตั้งคำถามว่าเเบบนี้รัฐบาลใช้อำนาจเกินไปไหม จริงอยู่ตอนนี้อยู่ในช่วง พ.ร.ก.ฉุกเฉินใช้บังคับ เเต่ประชาชนเเละเยาวชนไม่อดทนกับฝ่ายเผด็จการเเล้ว ผมเข้าใจตำรวจต้องทำตามหน้าที่เเต่ควรฟังเสียงประชาชนเเละเยาวชนด้วย อย่าเหมาว่าเป็นม็อบการเมืองหรือม็อบรับจ้าง ดูเจตนาของคนที่มาชุมนุมด้วย” หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยกล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์  กล่าวต่อว่า จุดยืนของตนคือต้านเผด็จการ รัฐบาลทำเเบบนี้เสมือนยังใช้อำนาจเผด็จการ ทั้งที่มีการเลือกตั้งเเล้ว จะอ้างภาวะไวรัสโควิด-19 มันก็เกินไป ตนพบว่าเยาวชนเเละประชาชนที่มาชุมนุมก็ป้องกันตัวเองเป็นอย่างดี ถามว่าคนพวกนี้ไม่เคารพกติกาสังคมในการป้องกันไวรัสโควิด-19อย่างไร รัฐบาลอย่าอ้างอะไรเเบบผิดตรรกะ การหวาดวิตกการระบาดอีกครั้งเพราะอ้างเหตุทหารอียิปต์กับลูกของทูตซูดานนั้นเป็นเพราะคนในรัฐบาลการ์ดตกเองจนสังคมประสาทเสียเเละอย่านำกรณีการชุมนุมครั้งนี้มาตีกิน

“ขอถามว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ยินเสียงของสังคมไหม หรือสนใจเเค่คนของตัวเองที่กำลังต่อรองเก้าอี้ ครม.เท่านั้น โพลล์หลายสำนักก็บอกชัดว่าชาวบ้านคิดอย่างไรกับรัฐบาลนี้ เเปลว่า วันนี้สังคมไม่อดทนกับพวกคุณเเล้ว ควรพิจารณาตัวเองด้วย พวกคุณทำงานมาหลายปีเเล้ว เเต่สังคมไม่ทนเเล้ว ขอเเนะนำว่า พลเอกประยุทธ์อย่าดื้อดึงเลย”

ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า  การที่กลุ่มเยาวชนปลดแอก – Free YOUTH ได้ปลุกระดมให้คนออกมาชุมนุมกันในวันเสาร์ที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เข้าข่ายความผิดหลายข้อหา อาทิ การฝ่าฝืน ม.9 (2) แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 มีอัตราโทษตาม ม.18 จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ, ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม.215 ฐานมั่วสุมกันเกินกว่าสิบคนหรือก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าเป็นแกนนำม็อบหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิด โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกชุมนุมแล้วยังฝ่าฝืนมีความผิดตาม ม.216 โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนั้นยังมีความผิดตาม ป.อาญา ม.209 ฐานเป็นอั้งยี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท ความผิดฐานปิดกั้นถนนตาม ม.114 แห่ง พรบ.จราจรทางบก 2522 ความผิดฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ขออนุญาตตาม ม.4 แห่งพรบ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง 2493 อีกด้วย

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่จะต้องเร่งดำเนินการออกหมายเรียกและติดตามจับกุมผู้ที่ต้องสงสัยรวมทั้งแกนนำม็อบทั้งหมดที่จับไมโครโฟนปราศรัยปลุกระดมมาดำเนินการสอบสวนและทำความเห็นทางคดี ตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา 2523 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 9 และประมวลการตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะ 8 บทที่ 2 ข้อ 278 นอกจากนั้น ยังต้องออกหมายเรียกแกนนำกลุ่มการเมือง และ ส.ส.บางคน ที่ให้ท้ายการชุมนุมดังกล่าว ถึงขั้นเตรียมการที่จะใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัวให้ล่วงหน้า มาดำเนินการสอบสวนและทำความเห็นทางคดี ฐานเป็นตัวการและผู้สนับสนุน ตาม ป.อาญา ม.83 และ ม.86 เพื่อส่งอัยการฟ้องต่อศาลอาญาต่อไปโดยเร็วด้วย

ทั้งนี้การชุมนุมดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน การสรุปสำนวนการสอบสวนและทำความเห็นทางคดี จะต้องเสนอให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อาญา ม.90 เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อบุคคลอื่นๆ ที่ริอ่านจะจัดการชุมนุมหรือเป็นแกนนำการชุมนุมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย อันเป็นการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคมและสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนต่อไป