ปัจจุบัน คนทำงานหลายๆ คนกำลังพยายามปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) โดยเทรนด์ล่าสุด เรียกว่า ‘Frugality’ คือการลดชั่วโมงการทำงานลง แม้จะได้รับค่าตอบแทนน้อยลง แต่ก็มีความสุขกับการใช้เวลาว่างที่มากขึ้น แถมคุ้มค่าที่จะแลกมา
แน่นอนว่าการลดชั่วโมงการทำงานลง และมีเวลาว่างมากขึ้นนั้นจะทำให้มีความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้น มีความสุขกับชีวิตมากขึ้น เพราะการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องอาจสร้างผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน เช่น สุขภาพกายและสุขภาพจิต
Celine Marty นักเขียนหนังสือเรื่อง Working Less to Live Better และนักวิจัยจาก French University Sciences มองว่าโรคระบาดทำให้คนคิดขึ้นมาได้ว่า การทำงานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต และบางครั้งเราก็สามารถใช้จ่ายเงินน้อยลงเพื่อหันมาโฟกัสชีวิตตัวเองมากขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นในการใช้จ่าย โดยอาจจะต้องประหยัดมากขึ้น ประเมินงบประมาณอย่างรอบคอบ และละทิ้งสิ่งฟุ่มเฟือยบางอย่าง เช่น ออกไปกินข้าวนอกบ้านบ่อยๆ ซื้อเสื้อผ้าใหม่ หรือไปเที่ยวพักผ่อนปีละสองครั้ง เพื่อให้เกิดสมดุลที่ลงตัว และการเงินก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
เทรนด์ ‘Frugality’ อาจเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาจากการลาออกครั้งใหญ่หรือ Great Resignation หรือการลาออกเพื่อไปค้นพบตัวเอง เพราะคนไม่น้อย รู้สึกแล้วว่างานไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต และโควิด-19 ทำให้พนักงานในบางอุตสาหกรรมทำงานหนักขึ้น ยาวนานขึ้น เกิดอาการ burn out ท้อแท้ และออกไปตามหาสิ่งใหม่ให้กับชีวิต
นอกจากนี้ เทรนด์ ‘Frugality’ ยังมีความใกล้เคียงกับ Quiet Quitting หรือที่ใครหลายคนนิยามเทรนด์นี้ว่า การทำงานเช้าชามเย็นชาม ไม่ต้องทุ่มเทหรือมี passion ในงานมากขนาดนั้น งานเสร็จเป็นอันจบ
แต่ในวงการคนทำงานก็ยังถกเถียงต่อไปอีกว่า Quiet Quitting เป็นเรื่องไร้สาระ เราไม่ควรนิยามคนที่ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายว่า Quiet Quitting พวกเขาแค่ทำงานตามปกติ เพื่อแลกกับค่าแรงเท่านั้นเอง
ที่มา : https://thelatch.com.au/work-life-balance-advice/