คนไทยซื้อทองเยอะสุดในอาเซียน สวนทางราคาทองพุ่ง

ราคาทองคำพุ่งพรวดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการวิเคราะห์ว่าอาจมีโอกาสว่าราคาจะไปถึง 45,000 บาท/บาททองคำก่อนสิ้นปีด้วย และด้วยราคาทองคำที่พุ่งขนาดนี้สำหรับหลายคนอาจมองว่านี่คงเป็นช่วงที่ดีสำหรับการขายเก็งกำไร 

ทว่ามีข้อมูลจากสภาทองคำโลก (World Gold Council:WGC) บอกว่าผู้บริโภคไทยมีความต้องการทองคำสูง และเป็นตัวเลขเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง หรือคิดเป็น 11% YoY หรือความต้องการราวๆ 14.5 ตัน ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 

รายงานนี้สะท้อนว่าคนไทยกำลังซื้อทองสวนกระแสราคาทองที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

แม้ภาพรวมความต้องการทองคำแท่ง และเหรียญทองคำทั่วโลกลดลง 9% คงอยู่ที่ระดับ 859 ตัน แต่ก็ถือว่ายังคงเป็นระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี มานี้ โดยตอนนี้ถ้ามาดูในระดับโลก จะเห็นความต้องการทองคำทั้งหมดเพิ่มขึ้น 5% เทียบกับปีก่อน ยอดรวมอยู่ที่ 1,313 ตัน นับเป็นปริมาณที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 3.65 ล้านล้านบาท

สำหรับประเทศไทยความต้องการก็เพิ่มขึ้น 15% YoY โดยมีการซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองคำประมาณ 12.1 ตัน ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีการซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองคำสูงเป็นอันดับสองในอาเซียน

‘เซาไก ฟาน’ หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า ความต้องการทองคำผู้บริโภคในประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการประกาศเริ่มโครงการ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ที่รอคอยกันมานาน ซึ่งได้รวมการแจกเงินรูปแบบของเงินสดที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่น รัฐบาลได้เริ่มดำเนินโครงการนี้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ซึ่งอาจช่วยสนับสนุนความต้องการทองคำในไตรมาสที่ 4 ได้

“สำหรับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงการคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้น ได้กระตุ้นความต้องการทองคำของนักลงทุนในประเทศในกลุ่มอาเซียนในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา 

โดยทั้งประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ต่างก็มีการเติบโตในระดับตัวเลขสองหลักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยซึ่งความต้องการทองคำผู้บริโภคยังคงมีการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนติดต่อกันถึงสองไตรมาส”

[ ธนาคารกลางชะลอตัวซื้อทองคำ คิดเป็นปริมาณเท่ากับ 2 ปีก่อน ]

ในส่วนของธนาคารกลาง ได้มีการซื้อทองคำชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามระดับความต้องการยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ปริมาณ 186 ตัน โดยยอดความต้องการทองคำของธนาคารกลางตลอดทั้งปีจนถึงปัจจุบันรวมกันอยู่ที่ระดับ 694 ตัน สอดคล้องกับระดับปริมาณในช่วงเดียวกันของปี 2565

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงพุ่งสูงต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสนี้ โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,474 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อระดับความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลก และทำให้การบริโภคทองคำเครื่องประดับลดลง 12% YoY 

และถ้าหากพิจารณาในแง่ของปริมาณทองคำ มองในเชิงมูลค่ากลับพบว่ามีการเติบโต 13% สิ่งนี้อาจแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อผลิตภัฒฑ์ทองคำในปริมาณที่น้อยลง

นอกจากนี้ ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยีได้เติบโต 7% YoY  โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI ที่ยังคงสนับสนุนความต้องการทองคำอย่างต่อเนื่อง