สนธิรัตน์แจง ไทยไม่ได้ใช้แก๊สแพงกว่าเพื่อนบ้านอาเซียน

วันที่ 17 ต.ค. เวลา 22.12 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขอใช้สิทธิ์ชี้แจงกรณีที่ฝ่ายค้านอภิปรายรัฐบาลผลักภาระราคาค่าแก๊สไปให้ประชาชน ใช้แพงกว่าเพื่อนบ้าน แล้วนำผลประโยชน์ส่วนต่างไปให้บริษัทที่ประกอบการ

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า นับตั้งแต่ประเทศไทยพบแก๊สในอ่าวไทย ประชาชนก็ได้ใช้แก๊สในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลกเสมอมา จนถึงปี 2557-58 ที่มีการปรับราคาใหม่ สาเหตุที่ก่อนหน้านั้นราคาถูกกว่า เพราะมีการบิดเบือนตลาด กำหนดไว้ที่ 333 เหรียญสหรัฐ ต่อเมตริกตัน หรืออยู่ที่ กิโลกรัมละ 18.13 สตางค์ ซึ่งไม่ว่าราคาตลาดโลกจะขยับเป็น 800 หรือ 1,000 เหรียญสหรัฐเราก็ตรึงไว้ จนทำให้เกิดผลกระทบสะสมก่อนปรับโครงสร้างราคาแก๊ส

เกิดการนำแก๊สมาใช้ผิดประเภทมาใช้ในการขนส่งและทำให้ประเทศต้องนำเข้าเพราะผลิตไม่เพียงพอ ต้องใช้งบประมาณอุดหนุนกว่า 2 แสนล้านบาท ภายหลังการปรับให้เกิดสมดุลรัฐบาลก็ยังดูแลอยู่ให้ราคาอยู่ที่ 363 บาท ต่อถัง 15 กก. หรือ 21 บาท ต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่ลดภาระชดเชยกองทุนน้ำมันและแก๊ส

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อถึง กรณีที่ระบุว่า เรามีแก๊สในอ่าวไทยแต่ใช้ในราคาแพงนั้น ขอชี้แจงว่า ราคาเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2562 ในประเทศไทย คือ 21.87 บาท ต่อ กก., สปป.ลาว 24.45 บาท, เมียนมา 30 บาท, เวียดนาม 34.34 บาท, ฟิลิปปินส์ 30.59 บาท เท่ากับคนไทยใช้แก๊สถูกกว่า มีเพียง 2 ประเทศที่ถูกกว่าไทย คือ กัมพูชา มาเลเซีย แต่ทั้ง 2 ประเภทใช้ระบบชดเชย ไม่ได้สะท้อนต้นทุนจริง ซึ่งนโยบายแบบนี้เราเคยใช้ในอดีตแต่เป็นภาระเปลืองงบประมาณแผ่นดินและไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่เหมาะสม

รมว.พลังงาน ยังชี้แจง เรื่องที่แก๊สอ่าวไทยเมื่อมาสู่โรงแยกแก๊สของ ปตท.เกิดส่วนต่างทำให้กำไรมหาศาลกับบริษัท โดยระบุว่า กลไกที่กำหนดคือ รัฐจะเก็บส่วนต่างเข้าสู่กองทุนน้ำมันเชื่อเพลิง LPG ใช้ชดเชยกรณีราคาตลาดโลกสูงกว่าที่ราคากำหนดไว้ ยืนยันว่าส่วนต่าง ต้นทุนโรงแยกแก๊สกับตลาดโลก ไม่ได้เข้าบริษัทแต่เข้ากองทุน