3 เหตุผลที่ ‘เศรษฐกิจเวียดนาม’ ก้าวกระโดด มูลค่า GDP เติบโต 30% ใน 5 ปี

ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เราคงได้ยินบ่อยๆ ที่บริษัทใหญ่ๆ ต้องการจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนาม รวมถึงเศรษฐกิจของเวียดนามที่เติบโตขึ้นมากใน 5 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอาเซียน
ถ้าหากเรามาดูข้อมูลจาก Statista จะพบว่า เวียดนามมีการเติบโตของ GDP ใน 5 ปีย้อนหลังเป็นดังนี้

• • • • • ปี 2019 มูลค่า GDP เวียดนามอยู่ที่ 3.31 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
        • ปี 2020 มูลค่า GDP เวียดนามอยู่ที่ 3.46 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
        • ปี 2021 มูลค่า GDP เวียดนามอยู่ที่ 3.69 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
        • ปี 2022 มูลค่า GDP เวียดนามอยู่ที่ 4.06 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
        • ปี 2023 มูลค่า GDP เวียดนามอยู่ที่ 4.33 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลขคาดการณ์จาก statista)

โดยหากเทียบดู GDP ย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2019 มาจนถึงตัวเลขคาดการณ์ในปี 2023 จะเห็นว่า เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตขึ้นมาถึง 30.81% เลยทีเดียว

ด้วย GDP ที่เติบโตขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดคำถามว่าเพราะสาเหตุใด? เวียดนามถึงเป็นประเทศที่เศรษฐกิจมีการเติบโตขึ้นก้าวกระโดด เรามาหาเหตุผลไปพร้อมกันโดยเจาะดูปัจจัย 3 ด้าน ดังนี้

[ ด้านประชากรและแรงงาน ]

อย่างแรก เวียดนามมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน และมีอายุเฉลี่ยของประชากรทั้งประเทศเพียง 32.8 ปี โดยจากประชากรทั้งหมดมีประชากรในวัยที่สามารถเป็นกำลังแรงงานเกินกว่าครึ่งหนึ่ง

แล้วยังมี ‘ค่าแรงขั้นต่ำ’ ที่สามารถดึงดูดกลุ่มนักลงทุน โดยรายได้ขั้นต่ำของเวียดนามต่อเดือนอยู่ที่ราวๆ 196 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือราว ๆ 6,900 บาทเท่านั้น

ประกอบกับประชากรในเวียดนามนิยมการทานผัก มากกว่าทานเนื้อสัตว์ ทำให้มีรูปร่างและร่างกายแข็งแรง คล่องแคล่วว่องไว ไม่ป่วยง่าย และสามารถทำงานได้ดีต่อเนื่อง

จึงไม่แปลกเลยที่ทำให้ในทุกวันนี้เวียดนามกลายเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

อ้างอิงจากการส่งออกที่สร้างเป็น 18% ของ GDP คือเสื้อผ้าและรองเท้า โดยมีฐานโรงงานใหญ่อยู่ในเวียดนาม อาทิ Nike และ Adidas
รวมถึงอีก 40% ของ GDP ยังเป็นการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีฐานการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่อย่าง Samsung อีกด้วย

[ ด้านภาษี นโยบายรัฐ และภูมิรัฐศาสตร์ ]

อีกเหตุผลที่สำคัญ คือ ‘ภาษีและนโยบาย’ เวียดนามมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขระเบียบเอื้อต่อการตั้งธุรกิจ อนุญาตให้ชาวต่างชาติจัดตั้งบริษัทได้ง่าย

และเวียดนามยังทำ ‘ข้อตกลงการค้าเสรี’ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น AFTA, China-ASEAN Free trade Area รวมถึงการเป็นสมาชิกของ CPTPP

ที่สำคัญอีกอย่างหลังจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ คือ เวียดนามยังสามารถคว้าผลประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต ดึงดูดให้บริษัทระดับโลกย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนามสำเร็จ

เพราะภาษีการลงทุนและภาษีส่งออกค่อนข้างต่ำ รวมถึงมีนโยบายมุ่งลดอุปสรรคทางการค้าให้กับต่างชาติ ในภาวะที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกกำลังเปลี่ยน ทั้งหมดเหล่านี้ดึงดูดและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศทั่วโลกเข้ามาสู่เวียดนามได้นั่นเอง

[ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ]

‘เวียดนาม’ เป็นประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน มีพื้นที่ลักษณะยาว และติดกลุ่มแม่น้ำโขงและทะเลฝั่งอ่าวไทย ทะเลจีนใต้ โดยที่ในฤดูหนาวจะมีฝนตกชุก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการส่งออกสินค้าเกษตรมากขึ้นเฉลี่ยปีละ 12% เลยทีเดียว โดยสินค้าส่งออกทางการเกษตร หลักๆ คือ กาแฟ และข้าว

เวียดนามมี ‘ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม’ ที่ยังคงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก หลายๆ พื้นที่ยังไม่ถูกเมืองหรืออุตสาหกรรมรุกเข้าพื้นที่

หรืออธิบายง่ายๆ ว่าก่อนหน้านี้ ‘เวียดนาม’ ยังใช้ทรัพยากรธรรมชาติไปไม่มาก ยังเหลือทรัพยากรสำหรับผลักดันเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว และเป็นส่วนหนึ่งที่ดึงดูดกลุ่มนักลงทุนมาตั้งฐานภายในประเทศ

จากนโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อการลงทุน ประกอบกับกลุ่มแรงงานที่มีคุณภาพและทรัพยากรธรรมชาติที่ยังไม่ถูกใช้งาน ทำให้เวียดนามเป็นอีกหนึ่งในประเทศที่กำลังดึงดูดกลุ่มนักลงทุนจากทั่วโลกและในอนาคตข้างหน้าเราอาจจะได้เห็นถึงความเจริญที่ค่อยๆ รุกเข้าไปในเวียดนามมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่มา

• • • • • • https://www.statista.com/…/gross-domestic-product-gdp…/
          • https://thediplomat.com/…/why-vietnams-economic-future…/
          • https://www.spglobal.com/…/vietnam-economy-moderates-in…
          • https://www.eastasiaforum.org/…/in-search-of-greener…/
          • https://www.ditp.go.th/contents_attach/92803/92803.pdf