Gen Z กลายเป็นกลุ่มที่ทำงานล่วงเวลามากที่สุด เพื่อพิสูจน์ตัวเอง สร้างความมั่นคง และไม่อยากถูกมองเป็น ‘คนขี้เกียจ’

คนไทยกลายเป็นหนึ่งในชาติที่ทำงานหนักประเทศหนึ่งในแถบเอเชีย ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ระบุว่า ชีวิตของคนกรุงเทพฯ ติดอันดับ 5 จาก 100 เมืองทั่วโลกที่ ‘ทำงานหนักมากเกินไป’ ราว 1 ใน 3 ของแต่ละวันหมดไปกับชั่วโมงการทำงาน นี่ยังไม่รวมการทำงานโอที หรือทำงานล่วงเวลาของคนไทยบางอาชีพด้วย

นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจจาก ADP Research Institute สถาบันวิจัยด้านตลาดแรงงาน สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2566 ในหัวข้อการสำรวจ ‘People at Work’ จากการเก็บสถิติคนทำงานจำนวน 32,000 คน ใน 17 ประเทศ มีข้อมูลน่าสนใจ ดังนี้

• คนทำงานอายุ 18-24 ปี มีแนวโน้มที่จะทำ ‘โอที’ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8 ชั่วโมง 30 นาทีต่อสัปดาห์
• คนทำงานอายุ 45-54 ปี ทำงานล่วงเวลา 7 ชั่วโมง 28 นาที
• คนทำงานอายุ 55 ปีขึ้นไป ทำงานล่วงเวลาราว 5 ชั่วโมง 14 นาทีต่อสัปดาห์เท่านั้น

หมายความว่า คนทำงานที่อยู่ในกลุ่ม ‘Gen Z’ กลายเป็นกลุ่มที่งานล่วงเวลามากที่สุด เมื่อเทียบกับ Gen อายุช่วงอื่น

มีรายงานว่า หลายคนเริ่มทำงานในช่วงที่มีการแพร่ระบาดใหญ่ หลายคนต้องเจอกับการ ‘เลิกจ้าง’ เซ่นพิษเศรษฐกิจตั้งแต่อายุเพียง 20 ต้นๆ เท่านั้น

หรือหลายๆ เหตุการณ์ เช่น การปลดคน, การชะลอการขึ้นเงินเดือน รวมไปถึง การแช่แข็งโควตาเปิดรับพนักงานใหม่ สิ่งเหล่านี้ทำให้คน Gen Z ขาดความเชื่อมั่นในหน้าที่การงาน และโอกาสที่จะไปต่อบน ‘Career path’ ในระยะยาวของตัวเอง

ดังนั้น การทำงานล่วงเวลาสำหรับคน Gen Z อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘รายได้ที่เพิ่ม’ แต่ส่วนหนึ่งพวกเขาต้องการพิสูจน์ตัวเอง ต้องการเป็นคนเก่ง เป็นคนขยัน และสละเวลาส่วนตัวของตัวเองได้หากพวกเขาตั้งใจที่จะทำ หรือ จำเป็นต้องทำ

[ คนหนุ่มสาวขาด ‘Safety Net’ ในอาชีพการงาน ]

‘Nela Richardson’ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สถาบันวิจัย ‘ADP Research Institute’ ระบุว่า ความรู้สึกไม่มั่นคงในอาชีพการงานเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความขยันของ ‘Gen Z’

หากดูจากผลการศึกษาแล้วพบว่า ความไม่มั่นคงในอาชีพของ ‘Gen Z’ มีมากกว่า Gen อื่นๆ ถึง 2 เท่าตัว

เขาได้ให้ความเห็นว่า ต่อไปความรู้สึกไม่มั่นคง-สั่นคลอนในลักษณะนี้จะมีบทบาทต่อ ‘Gen Z’ มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของห้วงคำนึงที่พวกเขาต้องตระหนักอยู่เสมอว่า เส้นทางการเติบโตในหน้าที่การงานไม่มีอะไรแน่นอน เนื่องจากต้องเผชิญกับการเลิกจ้าง การเขย่าองค์กรครั้งใหญ่ หรือปัจจัยอื่นๆ ที่จะตามมาอีก

ส่วนทางด้าน Lara Holiday โค้ชชิ่งด้านการทำงานมองว่า มวลความรู้สึกที่คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญอย่างทุกวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับคน Gen ก่อนๆ คนรุ่นเธอซึ่งก็คือ ‘Gen X’ รู้ว่า หากเรียนจบไปอย่างไรต้องมีงานรองรับ เมื่อได้ทำงานจะสามารถเก็บเงิบได้ มีบ้าน มีรถ มีทรัพย์สินเป็นของตนเองได้

ในขณะที่คนรุ่นนี้ห่างไกลจากความฝันที่เธอระบุออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ และด้วยเหตุนี้ ‘Gen Z’ จึงมองว่า ความปลอดภัยเดียวที่จะรองรับความไม่แน่นอนเหล่านี้ได้ ก็คือ การทำงานหนักขึ้น และเพิ่มชั่วโมงการทำงานที่นานขึ้น เหตุผลเบื้องหลังส่วนใหญ่ของ Gen Z คือ การพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง

งานวิจัยของ ADP ชี้ให้เห็นว่า มี ‘Gen Z’ เพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่คาดหวังว่า ตนจะได้ปรับฐานเงินเดือน ขณะที่ช่วงอายุอื่นๆ กว่า 2 ใน 3 คาดหวังว่า พวกเขาจะได้ปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นทุกปี

[ พยายามหนักขึ้น เพราะไม่อยากถูกมองว่า ‘ขี้เกียจ’ ]

BBC ได้อ้างถึงบทสัมภาษณ์ของ ‘จัสมิน’ (Jasmin) บัณฑิตปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยลีดส์ (University of Leeds) สหราชอาณาจักร

เธอเล่าว่า ได้เริ่มทำงานพาร์ทไทม์กว่า 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อจ่ายค่าเช่าบ้าน เมื่อเรียนจบและได้งานประจำจึงหยุดทำงานอื่นๆ แล้วหันมาโฟกัสกับงานประจำแทน

‘จัสมิน’ อธิบายกิจวัตรของเธอไว้ว่า เธอมักใช้เวลาอีกราวๆ 2-3 ชั่วโมงหลังเลิกงานเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานในวันถัดไป โดยความพร้อมที่ว่านี้ก็เพื่อทำให้ตัวเธอเองโดดเด่นและเป็นผู้ที่ถูกเลือก หากได้งานทำแล้วก็ต้องสั่งสมความขยัน ความตั้งใจอย่างเคร่งครัดต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้นายจ้างเห็นว่า พวกเขาคิดถูกแล้วที่เลือกเธอมารับผิดชอบในตำแหน่งนี้

‘จัสมิน’ ระบุด้วยว่า คนทำงานวัยอื่นๆ มักมีอคติเชิงลบต่อ ‘Gen Z’ ว่า เป็นพวกขี้เกียจ ไม่สู้งาน ทั้งที่เงื่อนไขในการทำงานของคนหนุ่มสาวเจเนอเรชันนี้เพียงต้องการทำงานจากที่บ้านเท่านั้น นี่เป็นเรื่องท้าทายอย่างมากที่จะรักษาสมดุลระหว่างความไม่มั่นคงทางจิตใจและหน้าที่ความรับผิดชอบ

[ Gen Z เครียดกว่าเจนอื่น ]

แม้คนรุ่นใหม่จะเต็มใจทำงานล่วงเวลาแต่นี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะไม่สร้างผลกระทบตามมาภายหลัง แม้ ‘Gen Z’ จะซื้อไอเดีย ‘Work-Life Balance’ แต่พวกเขาก็เติบโตมาในยุคที่โลกเต็มไปด้วยวิกฤติ ฉะนั้น การทำงานล่วงเวลาจะยังดำเนินต่อไปตราบเท่าที่พวกเขายังคงรู้สึกถึง ‘ความไม่แน่นอน’

นี่ก็อาจไม่ใช่กุญแจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนของ Gen Z ก็ได้ เพียงแต่พวกเขาต้องเตรียมรับมือกับความเครียดและความเหนื่อยหน่ายที่ทวีคูณมากกว่ากลุ่มอื่นๆ 

อย่างน้อย Gen Z อาจจะต้องหาวิธีถอยหลังกลับไปตั้งหลัก เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาวต่อสุขภาพจิตที่เกิดจากเศรษฐกิจชะลอตัวที่จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อความตึงเครียดมากขึ้นในอนาคต

อ้างอิง:

https://www.news.com.au/finance/work/at-work/report-reveals-gen-z-most-likely-generation-to-put-in-unpaid-overtime-at-work/news-story/0fcbb028bd111f1bc8e25a9ff80e993e
https://money.com/gen-z-millennial-work-unpaid-overtime/?fbclid=IwY2xjawJutwNleHRuA2FlbQIxMAABHjLWB0gwIIHSWaXHq0ii_-IYorFai-F0InSTMxtsiKKizERptfV1nmDbE6v0_aem_VW3_2f0mb722akBVovTa7A
https://www.bbc.com/worklife/article/20230525-why-young-workers-are-putting-in-so-much-overtime?fbclid=IwY2xjawJutv5leHRuA2FlbQIxMAABHqMvuH-NKh7hsNaD0WSY3wztMYdI4uEWpnS5WOauJI84AohSUm3a4b1hvzga_aem_Hj9mMvfPdPk4ML5RC6_vIg