SHARE

คัดลอกแล้ว

หากใครรับชมภาพยนตร์เรื่อง ‘Barbie’ แล้ว หนึ่งในฉากที่น่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือฉากที่บาร์บี้ได้รับเชิญให้เข้าไปในสำนักงาน ‘แมทเทล’ (Mattel) บริษัทผู้คิดค้นและผู้ผลิตในแคลิฟอร์เนีย เพื่อส่งตัวเธอกลับไปที่ Barbieland แต่กลับกลายเป็นการเริ่มต้นการผจญภัยครั้งสำคัญของบาร์บี้ในโลกความเป็นจริง

จริง ๆ แล้ว Mattel ไม่ได้ให้กำเนิดเฉพาะตุ๊กตาบาร์บี้เท่านั้น แต่บริษัทเป็นบริษัทผลิตของเล่นชื่อดังอันดับ 4 ของโลก และถือลิขสิทธิ์ของเล่นบริษัทบันเทิงระดับโลกอย่าง Disney และ Warner Brothers ผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่อง Barbie อีกด้วย

จากบริษัททำกรอบรูป สู่บริษัทของเล่น

ในปี 1945 เอลเลียต แฮนด์เลอร์ (Elliot Handler)  และ รูธ แฮนด์เลอร์ (Ruth Handler) สองสามีภรรยาชาวอเมริกันเริ่มต้นทำธุรกิจผลิตกรอบรูปขาย ร่วมกับ แฮโรลด์ แมตต์ แมตสัน (Harold “Matt” Matson) ในโรงรถ โดยใช้ชื่อธุรกิจว่า ‘Mattel’ ที่มาจากการรวมชื่อของเอลเลียตและแมตต์เข้าด้วยกัน 

เมื่อเอลเลียตเริ่มนำเศษไม้และพลาสติกที่เหลือจากการทำกรอบรูป มาผลิตเฟอร์นิเจอร์สำหรับบ้านตุ๊กตาขายจนประสบความสำเร็จ แฮโรลด์ตัดสินใจขายหุ้นคืนให้กับเอลเลียตและรูธ จากมีปัญหาด้านสุขภาพ ทั้งคู่จึงตัดสินใจเบนเข็มธุรกิจมาผลิตของเล่นเพียงอย่างเดียว

ในปี 1947 แมทเทลผลิต ‘Uke-a-Doodle’ อูคูเลเล่จากพลาสติกประสบความสำเร็จจนกลายเป็นของเล่นยอดฮิต ต่อด้วยการผลิตเปียโนจิ๋วที่ทำมาจากพลาสติกทั้งหมด แต่เอลเลียตกลับพบปัญหาว่าเขาคำนวณราคาต้นทุนผิด และพบปัญหาเรื่องคุณภาพของสินค้า ทำให้แมทเทลตระหนักได้ว่าธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต้องมีคุณภาพและมีเอกลักษณ์ 

ที่สำคัญคือของเล่นควรสร้างความสนุกในระยะยาว และเป็นของเล่นพื้นฐานให้กับของเล่นชื้นอื่นในอนาคต 

บาร์บี้…พลิกบริษัทธรรมดาให้กลายเป็นบริษัทระดับโลก

ในปี 1959 แมทเทลสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเปิดตัว ‘บาร์บี้’ (Barbie) ซึ่งเป็นตุ๊กตาที่ขายดีที่สุดของแมนเทลมาจนถึงทุกวันนี้

จุดเริ่มต้นไอเดียของบาร์บี้เกิดจากรูธเริ่มสังเกตว่าลูกสาวของเธอชอบเล่นตุ๊กตากระดาษที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าตุ๊กตาเด็ก ประกอบกับแรงบันดาลใจจากตุ๊กตา Bild Lilly ตุ๊กตาสาวเซ็กซี่ที่มีต้นแบบมาจากตัวการ์ตูนสาวดาวยั่วที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านของเล่นผู้ใหญ่ในเยอรมนีสมัยนั้น 

รูธตัดสินใจออกแบบตุ๊กตาวัยรุ่นสาวสะโพกเล็ก ขายาว แต่งหน้าอ่อน ๆ สวมชุดว่ายน้ำสีขาวสลับดำและตั้งชื่อตุ๊กตาตัวนี้ว่า ‘บาร์บี้’ ตามชื่อบาร์บาร่า ลูกสาวของเธอ

ในยุคนั้น ตุ๊กตาที่เป็นที่นิยมสำหรับเด็กผู้หญิงคือตุ๊กตาเด็กทารก เอลเลียตจึงบอกภรรยาของเขาว่า “รูธ ไม่มีแม่คนไหนซื้อตุ๊กตามีหน้าอกให้ลูกสาวหรอก” 

จนกระทั่ง “Barbie the teenage model” ประสบความสำเร็จจากเปิดตัวในงาน American toy Fair ที่นิวยอร์ก จนมียอดสั่งซื้อกว่า 350,000 ชื้นในปีแรก ต่อมาแมทเทลส่งออกบาร์บี้ไปบุกตลาดในยุโรปและอีก 150 ประเทศทั่วโลก พร้อมกับต่อยอดด้วยการผลิต ‘เคน’ (Ken) ที่ตั้งชื่อตามเคนเนธ ลูกชายของรูธ

ทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มต้นให้แมทเทลเริ่มต้นจดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ในปี 1965 แมทเทลจึงกลายเป็นบริษัทติดอันดับ ‘Fortune 500’ เป็นหนึ่งใน 500 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

ในปี 1968 เอลเลียตอยากผลิตของเล่นรถยนต์ที่ทรงพลัง รวดเร็วและเท่สำหรับเด็กผู้ชายบ้าง เขาจึงจ้างนักออกแบบรถยนต์จากบริษัทรถยนต์ชื่อดังอย่าง General Motors มาออกแบบของเล่น จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘Hot Wheels’ แบรนด์ของเล่นอันดับหนึ่งของโลก

สร้างรายได้ใหม่จากของเล่นเก่า

ความรุ่งโรจน์ของแมทเทลกลายเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากเกิดปัญหาภายในบริษัทส่งผลให้เอลเลียตและรูทถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองเป็นผู้ก่อตั้ง

แมทเทลเริ่มเข้าซื้อกิจการของเล่นอีกมากมาย รวมไปถึง Western Publishing สำนักพิมพ์หนังสือเด็กและของเล่นอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ แต่บริษัทกลับคว้าน้ำเหลว จนต้องขายกิจการในเครือมากมายออกไป 

เมื่อบริษัทกลับมาทำกำไรอีกครั้ง แมทเทลจึงเปิดตัว ‘Mattel Electronics’ แผนกผลิตวีดิโอเกมของแมทเทลในปี 1977 แต่ดำเนินการไ้ม่นานก็ขาดทุนอีกครั้งจนบริษัทเกือบถูกฟ้องล้มละลาย

แมทเทลจึงหันกลับมาให้ความสำคัญกับสินค้าขายดีตลอดกาลอย่างบาร์บี้และ Hot Wheels อีกครั้ง ควบคู่กับการพัฒนาของเล่นใหม่ ๆ และเริ่มผลิตสินค้าให้บริษัทบันเทิงอย่าง Disney,  Turner Broadcasting เจ้าของ Cartoon Network และ Warner Brothers

ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับตลาดใหม่ ๆ ด้วยการเข้าซื้อกิจการ ‘Fisher-Price’ บริษัทผลิตของเล่นสำหรับเด็ก ‘International Games’ บริษัทผู้ผลิตเกม UNO และ Skip-Bo

ในปี 2018 แมทเทลประกาศเปิดตัว ‘Mattel Films’ เพื่อสร้างภาพยนตร์จากสินค้าของแมทเทล ที่ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในแผนกที่สร้างตำนานระดับโลกไปแล้ว

ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าตอนนี้ ‘Barbie’ กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ยอดฮิตที่สามารถกวาดรายได้ทั่วโลกไปแล้วกว่า 774 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (26,687 ล้านบาท) แซงหน้า Batman จนได้ขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Warners Brothers ในรอบหลายทศวรรษ และสร้างปรากฏการณ์ให้หลายแบรนด์หันมาปัดฝุ่นนำสินค้าเกี่ยวกับบาร์บี้มาขายเต็มห้างสรรพสินค้าชั้นนำ

หลังจากนี้ แมทเทลเตรียมสร้างภาพยนตร์จากของเล่นที่ถือลิขสิทธิ์อยู่อีก 14 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของ ‘Barney’ ไดโนเสาร์สีม่วงขวัญใจเด็ก ๆ ที่จะชวนพูดถึงการค้นหาความรักและตัวตน, ‘Hot Wheels’ รถแข่งของเล่นที่จะมีชีวิตโลดแล่นบนจอเงินจากการร่วมมือกับ Warners Brothers ,‘American Girls’, ‘Magic 8 Ball’, ‘Thomas& Friends’ ไปจนถึงภาพยนตร์จากเกม ‘UNO’ ในอนาคต เพื่อให้ของเล่นของแมทเทลกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

 

อ้างอิง :

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า