SHARE

คัดลอกแล้ว

“24 ชั่วโมงของคนเราไม่เท่ากัน”

ประโยคนี้ผุดขึ้นมาในใจหลังได้ชมคลิปสัมภาษณ์ของ กร วรรณไพโรจน์ หรือ กร PROXIE ที่นอกจากมองแว๊บแรกก็เห็นถึงความหล่อเหลาเอาเรื่องที่โดดเด่นเตะตาแล้ว เมื่อเขาเอ่ยปากเล่าถึงชีวิตการเป็นทั้งนักเรียนแพทย์ที่เรียนหนักเหมือนที่ใครๆ เขาพูดกัน แล้วยังควบตำแหน่งเป็นศิลปินในบอยกรุ๊ปชื่อดังอย่าง PROXIE ของค่ายเพลง bROTHERS MUSIC ของ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี ที่ทำให้เขาต้องทำงานทุกวันไม่เว้นวันเสาร์อาทิตย์ ไหนจะภาษาอังกฤษที่พูดได้คล่องพร้อมสำเนียงเป๊ะปังฟังง่ายรื่นหูแบบนี้อีก

…ทั้งหมดนี้ทำให้เราคิดว่า 24 ชั่วโมงของคนเราที่ได้รับมาเท่าๆ กันหมด แต่เอาเข้าจริงๆ ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่จัดสรรเวลาได้ดีกว่ากันเยอะมากจริงๆ เรียกง่ายๆ ว่า กร PROXIE ในวัย 21 ปีทำให้เราดูเป็นคนขี้เกียจไปเลย

หมอกร vs กร PROXIE

ก่อนที่จะไปถึงเรื่องของงานในวงการบันเทิง กร เล่าในคลิปสัมภาษณ์รายการ AIM HOUR ของ TODAY ถึงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะกับเพื่อนๆ ในคลาสเรียนแพทย์ด้วยกันเอาไว้ว่า “เพื่อนๆ น่ารักมาก เป็นวงสังคมที่สนุก อาจจะมีการแข่งขันที่สูงบ้างบางครั้ง แล้วการเรียนหมอเนี่ยมันก็ต้องทำงานหนักมากๆ ทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียน เพราะฉะนั้นผมก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว แล้วก็ได้ฝึกฝนสมอง ได้ใช้สมองมากๆ เลยครับ”

“ผมไม่คิดว่ามันทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นนะ แต่ด้วยประสบการณ์ต่างๆ พวกนั้น คือผมคงไม่ได้เอาบทเรียนจากตำรามาใช้ในชีวิตประจำวันหรอกครับ แต่ว่ามันมีหลายๆ อย่างที่ผมสามารถนำมาปรับ แล้วก็ใช้ให้มันเป็นประโยชน์กับตัวเองได้ หรือแม้แต่กับ PROXIE เองก็ตาม”

มาถึงตรงนี้ ไม่คิดว่าการเป็นนักเรียนแพทย์จะได้เรียนรู้อะไรที่มาช่วยในการเป็นศิลปินไอดอลได้ด้วย กรเล่าด้วยรอยยิ้มว่า “การเรียนแพทย์มันเกี่ยวข้องกับความเข้าใจมนุษย์ในหลายๆ แง่ครับ เพราะเราไม่ได้แค่สอนให้เป็นหมอที่ดี แต่ต้องเป็นคนที่ดีด้วย ต้องฝึกความเข้าใจผู้อื่น เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากๆ”

นอกจากนี้กรยังเสริมว่า ความยืดหยุ่นก็สำคัญ เมื่อตัวเองเหนื่อยและท้อ ให้คิดว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ให้คิดเอาไว้เสมอว่า “คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะเป็นคนที่ลุกขึ้นมาใหม่ได้ แล้วก็ผลักดันตัวเองให้ไปต่อได้อีกครั้ง”

กร PROXIE

แรงสนับสนุนจากครอบครัว

“จริงๆ ผมเกิดในครอบครัวเล็กเองครับ ไม่ได้เป็นครอบครัวจีนใหญ่ๆ อะไรแบบนั้น มีแค่แม่ พ่อ แล้วก็ผม ที่เป็นลูกคนเดียว” กรเริ่มต้นเล่าถึงเรื่องครอบครัวของตัวเอง ที่เป็นหนึ่งในแรงผลักดันที่คอยสนับสนุนในทุกอย่างที่เขาเลือกทำมาตั้งแต่เด็กๆ

“ผมเกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง คุณแม่เป็นนักแปล ส่วนคุณพ่อก็เป็นโค้ชสอนกอล์ฟ เพราะฉะนั้นตอนนั้นเราก็ไม่ได้มีเงินทองอะไรมากมาย หรือแม้กระทั่งตอนนี้ก็ด้วย เพราะฉะนั้นผมรู้สึกขอบคุณที่พ่อแม่ผมทำงานอย่างหนัก ที่พวกท่านสนับสนุนผม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผมมีความฝันและเป้าหมายของผม และผมคือคนที่กำหนดชีวิตของตัวเอง และตั้งใจอุทิศตนเอง ให้กับอะไรต่างๆ ในชีวิต เหมือนกับว่าส่วนเล็กๆ ของทุกอย่าง มันหล่อหลอมให้เป็นผมในทุกวันนี้มากกว่า”

“พ่อแม่เขาก็ไม่ค่อยหัวโบราณเท่าไหร่ ค่อนข้างเปิดกว้างแล้วก็หัวสมัยใหม่เลยครับ เขามักจะปล่อยให้ผมมีชีวิตของตัวเอง ตัดสินใจอะไรต่างๆ ด้วยตนเอง ผมว่ามันเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมเป็นตัวผมได้ในวันนี้เลย”

“ถ้าผมมีลูกของผมเอง ก็คงจะเลี้ยงเขาแบบเดียวกับที่พ่อแม่ผมเลี้ยงผม ก็คือไม่อ่อนเกิน ไม่แข็งเกิน เพราะถ้าเราแข็งเกิน เข้มงวดเกิน พอถึงวันที่ลูกโตไปเจอโลกความจริงแล้วเขาก็อาจจะทนไม่ได้กับสิ่งที่เขาจะต้องเจอ ยิ่งเรียนรู้เร็วก็ยิ่งดีครับ แล้วก็พยายามให้หาทางออกได้ด้วยตนเอง ก่อนที่จะต้องไปเจอกับอะไรต่างๆ ตอนโตขึ้น”

Daddy’s little boy

กรเผยว่า “ตอนนี้ผมอยู่กัน 2 คนกับคุณพ่อ แล้วก็คุณย่าแวะมาบ้างบางครั้ง มาดูแลพวกเรา จริงๆ แล้วเราก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก เพราะแต่ละคนก็มีงาน มีอะไรต้องทำกัน แต่ทุกครั้งที่เราคุยกัน มันดีมากๆ เลยครับ เพราะผมมักจะเก็บปัญหาต่างๆ เอาไว้ แล้วก็เล่าให้เขาฟังไปทีเดียวเลย แล้วเขาก็จะเตือนสติเรา ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นมาเลย แค่ผมได้คุยกับพ่อ”

“แน่นอนแหละว่าพ่อรู้จักกรดีอยู่แล้ว เขาเลี้ยงเรามาเนอะ แล้วเขาก็มีประสบการณ์มากกว่าเรา แล้วบางครั้งผมรู้สึกว่าพ่อเขามองโลกในภาพกว้างมากกว่าเรา เพราะด้วยจุดที่เรายืนอยู่ พอเราทำอะไรวนไปซ้ำๆ มันเหมือนกับผมจับปัญหาหลายๆ อย่างในชีวิตมารวมกัน แล้วก็ยึดติดอยู่ในโลกของผมเอง คิดไปแล้วว่ามันไม่มีทางออก แต่พอผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังเขาจะบอกว่า ‘เฮ้ ใจเย็นๆ ก่อน มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น มองภาพรวมแล้วมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นเลยนะ ยังมีคนอีกเยอะแยะที่สนับสนุนเรา’ แล้วก็ยังมีอีกหลายๆ อย่าง ให้เราได้เรียนรู้ ยังมีเหตุผลให้เราใช้ชีวิตอยู่นะ”

กร PROXIE

“เราสนิทกันมากๆ ครับ ผมรักเขา แน่นอนว่าผมรักพ่อของผม แล้วผมก็ได้รับแรงบันดาลใจจากเขาในหลายๆ แง่เลยครับ”

ความสนิทสนมระหว่างกรและพ่อ ไม่ได้มาจากการแค่ทั้งสองคนสามารถคุยเล่นและปรึกษาหารือกันได้อย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคำสอนของพ่อที่ให้กรได้เรียนรู้เรื่องราวรอบตัวที่สำคัญๆ ตั้งแต่ยังเด็กๆ

“เขาสอนให้ผมรู้จักอะไรมากมาย ตั้งแต่ยังเด็กๆ อย่างเรื่องการลงทุน คือใครเขาจะพูดเรื่องเงินกับลูกที่อายุแค่ 14 ใช่ไหมล่ะครับ แต่พ่อผมเขาทำ ซึ่งทุกวันนี้ ผมก็คิดได้ว่ามันดีแล้วจริงๆ สำหรับผม”

“เขาเริ่มจากการสอนให้ผมหัดใช้เงินให้เป็นครับ แล้วเขาก็จะค่อยๆ สอน อย่างเช่น เขาจะให้เงินผมเพิ่มถ้าผมสอบได้คะแนนดี แล้วก็ไม่ให้ผมใช้เงินนั้น แต่จะให้เก็บไว้ในธนาคาร หรืออะไรประมาณนั้นครับ แล้วพอผมโตขึ้นมาหน่อย เขาก็เริ่มสอนเรื่องการลงทุน ว่ามันมีทั้งหุ้น มีทั้งกองทุน ยิ่งเราลงทุนเป็นเร็ว ในอนาคตก็จะดีต่อชีวิตนะ แล้วเขาก็ให้ผมฝากเงินไว้ แล้วก็จะให้ดอกเบี้ยเยอะกว่าฝากเงินกับธนาคารด้วย เหมือนกับสร้างนิสัยในการเก็บเงิน แต่เอาจริงๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังเก็บเงินไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่”

“แล้วเขาก็ยังสอนเรื่องการรับมือกับความเสี่ยงด้วยครับ อย่างเช่นงานของผมตอนนี้ ถ้าเราประสบความสำเร็จมากๆ เราก็จะหาเงินได้มากในระยะเวลาสั้นๆ แต่ประเด็นคือเรื่องของนิสัย ว่าเราใช้ยังไง เก็บยังไง หรือว่าลงทุนยังไง เพื่อให้มันเติบโตขึ้นไปอีก อันนั้นแหละสำคัญมากๆ เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจความเสี่ยงว่า นี่ไม่ใช่รายรับที่มั่นคงนะ วันนึงอาจจะไม่มีใครมาจ้างผมแล้วก็ได้ เพราะผมอาจจะหลุดเทรนด์ไปแล้ว เพราะฉะนั้นการรู้จักความเสี่ยงก็สำคัญมากๆ”

ถ้าต้องเลือกระหว่าง หมอ และ ศิลปิน

เมื่อคุยถึงเรื่อง ‘ความเสี่ยง’ ที่อาจเกิดขึ้นได้กับอาชีพของการเป็นศิลปิน จึงเป็นที่มาของคำถามที่กรยอมรับว่าได้รับคำถามนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ว่าหากต้องเลือกระหว่างการเป็นหมอ หรือ ศิลปิน เพียงอย่างเดียว กรจะเลือกอะไร เจ้าตัวยอมรับว่าก่อนหน้านี้ก็พยายามตอบแบบอ้อมๆ ตลอด เพราะยังไม่ถึงจุดที่เขาต้องเลือกจริงๆ แต่เขาเองก็ยอมรับว่าในอนาคตมันน่าจะต้องมีวันที่เขาต้องเลือกจริงๆ

“ตอนนี้ผมรู้สึกว่า ครับ มันจะมีแหละ วันที่ผมต้องเสียสละอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะทำอีกอย่าง แต่มันไม่ใช่ว่าผมจะเลือกซ้ายหรือขวานะครับ แต่มันก็มีสถานการณ์ที่ต้องเลือก หลายๆ อย่างที่ต้องเสียสละ แต่ผมว่าวันนั้นยังมาไม่ถึง”

“ตอนนี้คำตอบของผมคือการที่ผมอาจจะไม่ได้ทำ 100% ของทั้งสองอย่าง แต่เอาส่วนนี้ กับส่วนนี้มารวมกัน แล้วก็สร้างวิธีใช้ชีวิตขึ้นมาในแบบของผมเอง”

การเติบโตของกร ในเรื่องของความสัมพันธ์ในอนาคต

สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับการเป็นคนดัง คือเรื่องของความสัมพันธ์ส่วนตัวที่สาธารณะมักอยากรู้ และให้ความสนใจเป็นพิเศษว่าใครคบกับใคร เลิกกับใคร สำหรับกรเองก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่เคยมีเรื่องราวเหล่านี้ในชีวิต แต่มุมมองของกรที่มีต่อความรักอาจไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่เรื่องความรักของชายหญิงเพียงเท่านั้น

“ต้องบอกว่าในฐานะมนุษย์เนี่ย เราใช้ชีวิตคนเดียวตลอดไปไม่ได้หรอกครับ แต่ผมยังอายุแค่ 20 เอง ผมว่าผมยังไม่ได้มีประสบการณ์มากพอ ที่จะพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์หรือเรื่องความรัก แล้วผมเองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเรื่องรักเท่าไหร่ด้วย เพราะมันก็มีช่วงที่ผมรู้สึกเหงานะ แต่มันก็มีช่วงเวลาที่ผมตกหลุมรักด้วย”

“ความรักมันเป็นสิ่งสวยงามนะ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน อาจจะไม่ต้องเป็นคนรักกันเสมอไป รักเพื่อน ก็อาจจะดีพอแล้วนะครับ สำหรับการใช้ชีวิต”

เมื่อถามถึงประสบการณ์ความรักวัยใสที่วัยรุ่นทั่วไปต้องเคยผ่านกันมาบ้างไม่มากก็น้อย กรออกตัวว่าเขาเองไม่ค่อยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มากนัก อาจเป็นเพราะหน้าที่การงานที่มาเร็วตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้ ทำให้เขาไม่ค่อยได้มีโอกาสที่จะสัมผัสกับประสบการณ์เหล่านั้นมากเท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีเลย แม้เจ้าตัวจะบอกว่า จนถึงทุกวันนี้ก็ยังนิยามคำว่ารักไม่ได้ แต่กรยอมรับว่าเคยแต่งเพลงให้คนที่ชอบด้วย และเพลงนี้ก็อยู่ในอัลบั้มแรกของ PROXIE นั่นคือเพลง “STOP!” 

“ผมว่าความรักเป็นสิ่งที่นำทางให้ผู้คน ไม่ว่าจะรักในงานที่ทำ รักผู้คนที่อยู่เบื้องหลัง”

“ผมว่าการมองความรักมันต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลาในชีวิต ตอนนี้ถ้าผมฟังเพลงนั้นผมก็รู้สึกว่ามันก็ค่อนข้างจะไร้เดียงสาไปหน่อยเหมือนกัน เพราะตอนเขียนผมก็ยังเด็กอยู่ (17-18 ปี)”

“คนไม่คุย” เปลี่ยนชีวิต

อิทธิพลทางดนตรีของกรมีนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ศิลปินรุ่นใหม่ที่ทำเพลงสไตล์โมเดิร์นแจ๊สอย่าง Laufey ไปจนถึง Yokee Playboy และ Silly Fools รวมถึงความเจ้าบทเจ้ากลอนของ Taylor Swift ซึ่งนั่นก็หล่อหลอมให้กรเป็นกร PROXIE ที่เป็นคนชอบฟังเพลง รักในเสียงดนตรี เล่นเครื่องดนตรีต่างๆ และแต่งเพลงได้อีกด้วย แต่ในฐานะศิลปิน กรยอมรับว่า เพลง “คนไม่คุย” ของ PROXIE เป็นเพลงเปลี่ยนชีวิตของเขาที่แท้จริง

“จำได้ว่าตอนนั้นเราปล่อย ‘Crazy Love’ เป็นเพลงเดบิวต์ แล้วผลก็ออกมาค่อนข้างโอเค เราก็ไปแสดงเดบิวต์สเตจ แล้วเราก็ได้เดโม่เพลงนี้มา แล้วก็ซ้อมร้องกัน ส่งการบ้านให้ครูสอนร้องเพลง ตอนนั้นเราไม่รู้เลยครับว่าเพลงมันจะดังมากๆ เราแค่คิดว่าโอ้ เพลงมันติดหูดีนะ ออกแนว pop มากขึ้นกว่าเพลงแรกนะ ผมว่ามันหลายๆ ปัจจัยรวมกัน ทั้งความพยายามของเราด้วย การสนับสนุนของบริษัทด้วย แล้วก็ที่ทุกคนทำงานอย่างหนัก รวมถึงแฟนคลับ แล้วก็โชคด้วยครับ โชคดีที่ว่าตอนนั้นมีเทรนด์ TikTok ขึ้นมา ซึ่งก็เป็นก้าวที่ใหญ่มากสำหรับเรา PROXIE แล้วเราก็ซาบซึ้งกับมันมากๆ ครับ”

Love yourself first

สิ่งที่กรคิดว่าสำคัญที่สุด คือการรักตัวเองให้เป็น เริ่มต้นที่ตัวเองก่อนเสมอ

“คนเราอาจจะเกิดมาในที่ที่ต่างกัน เกิดมากับคนที่ต่างกัน แต่เราก็เกิดมาคนเดียว ถ้าจะมองในมุมนั้น แล้วเราก็ตายคนเดียวด้วย เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวให้เป็น แล้วก็หาความสุขด้วยตนเองให้ได้ เพราะถ้าเราพึ่งพาใครมากจนเกินไป แล้ววันไหนที่เราต้องอยู่คนเดียว หรือสูญเสียคนคนนั้นไปแล้ว มันจะรู้สึกเหมือนเราไม่เหลืออะไรเลย ซึ่งมันไม่ดีต่อตัวเราเองเลย”

“เราต้องเติมเต็มตัวเองให้ดีก่อน เพราะถ้าเรายังไม่ดีพอ แล้วเราจะไปดูแลอีกคนได้ยังไง เพราะฉะนั้นการรักตัวเองเป็นอีกเรื่องที่ผมให้ความสำคัญมาก แล้วผมก็พูดถึงอยู่ตลอด เราจะต้องเคารพตัวเองก่อน เพราะถ้าเราพึ่งพาอีกฝ่ายมากเกินไป ก็คงทำให้อีกฝ่ายไม่มีความสุขเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องเติมเต็มตัวเองให้ได้ก่อน”

โดยเฉพาะโลกออนไลน์ที่เด็กยุคใหม่ต้องเผชิญกับการแสดงความคิดเห็นที่โหดร้ายจากคนที่ไม่รู้จัก จึงอาจเป็นที่มาของประโยคที่ว่า “เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย” โดยเฉพาะการอยู่ในโลกปัจจุบันที่ความรักความหวังดีอาจไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายอย่างที่คิด

กรพูดถึงเรื่องนี้ว่า “ในฐานะวัยรุ่นคนหนึ่ง ผมว่าเราอยู่ภายใต้ความกดดันต่างๆ มากมาย พอเราเห็นชีวิตคนอื่นมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เราก็มักจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเขา แล้วบางทีมันก็กลับมาทำร้ายเราเอง ซึ่งมันก็ไม่ใช่การรักตัวเองเลย มันทำให้เรากลายเป็นคนที่ทำอะไรเพื่อคนอื่น มากกว่าเพื่อตัวเอง แค่เพื่อให้คนอื่นพอใจ”

“ผมว่าสำหรับจุดยืนของผมในตอนนี้ ผมแค่อยากจะส่งต่อพลังงานดีๆ แล้วก็หวังว่ามันจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้คนได้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าความคิดแบบนี้ หรือสิ่งที่ผมพูดออกไป ผมเองก็ไม่ได้ทำได้ 100% นะครับ เพราะผมเองก็เป็นมนุษย์ ผมก็ผิดพลาดอยู่ตลอด บางทีผมพูดเรื่องการรักตัวเอง แต่ผมก็อาจจะลืมรักตัวเองไปบ้างก็ได้ แต่ผมก็พยายามทำให้ดีที่สุดนะ เพราะผมไม่อยากให้ภาพลักษณ์ผมกลายเป็นว่าประสบความสำเร็จทุกอย่าง”

ก่อนจบบทสนทนา กรถาม เอม นภพัฒน์จักษ์ ถึงสิ่งที่คนอายุ 40 ปีอยากจะบอกกับคนอายุ 20 ปี ซึ่งเขาได้รับคำตอบว่า การดูแลสุขภาพตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นสิ่งที่สำคัยและไม่ควรละเลย นอกจากนี้การตตามใจตัวเองบ้างก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้แย่อะไร เหมือนให้ความสุข ให้รางวัลกับชีวิต

“ผมว่ามันดีต่อผมเหมือนกัน เพราะบางทีผมก็กดดันตัวเองมากไป เพราะฉะนั้นก็ดีเหมือนกันถ้าผมปล่อยชิลล์ๆ บ้าง ตามใจตัวเองบ้าง สนุกไปกับชีวิต”

เพราะอายุยังน้อย และยังมีอนาคตอีกยาวไกล กรจึงมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ และลองผิดลองถูกไปเรื่อยอีกเยอะ แต่ขอให้แน่ใจว่าระหว่างการใช้ชีวิต เขาจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำให้เต็มที่ มีความสุขในทุกๆ เรื่องที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะ คุณหมอกร หรือ กร PROXIE เชื่อว่าแฟนๆ ครอบครัว และคนรอบตัวของกรพร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่อยากที่เป็นมาตลอดแน่นอน

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า