SHARE

คัดลอกแล้ว

ระยะเวลากว่า 1 ปีครึ่งที่ทั่วทั้งโลกอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือการระบาดครั้งใหญ่นี้ทำให้รูปแบบชีวิตการทำงานของผู้คนเปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิง

แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ ผลสำรวจหลายที่ระบุไปในทางเดียวกันว่า เมื่อโควิดเริ่มคลี่คลาย เศรษฐกิจเริ่มฟื้น (แม้จะยังมีการระบาดต่อไปก็ตาม) คนจะลาออกจากงานกันมหาศาลเพื่อไปหางานใหม่ หรือที่เรียกว่า Great Resignation

โดยหากดูเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่ามีคนลาออกจากงานมากกว่า 4 ล้านคน ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

ขณะที่ผลสำรวจจากบริษัทจัดหางานสัญชาติอเมริกันอย่าง Bankrate ระบุว่า ประมาณ 55% ของแรงงานในสหรัฐอเมริกาบอกว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะหางานใหม่ในอีก 12 เดือนข้างหน้า

ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีผลสำรวจของบริษัทไมโครซอฟท์ที่มีพนักงานทั่วโลกกว่า 30,000 คน พบว่า 41% ของพนักงาน กำลังคิดลาออกหรือเปลี่ยนอาชีพในปีนี้

รวมถึงบริษัท Personio ซึ่งทำซอฟต์แวร์ด้านทรัพยากรบุคคล ได้สำรวจคนทำงานในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ พบว่า 38% ของผู้ตอบแบบสำรวจวางแผนที่จะลาออกจากงานในอีก 6 เดือน – 1 ปีข้างหน้านี้

[นานาสาเหตุ ทำให้คนอยากลาออก]

ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนอยากลาออกหรืออยากเปลี่ยนงานกันมากขึ้น เมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มดีขึ้น มาจากหลายเหตุผลด้วยกัน

1.โควิดทำให้โลกการทำงานและความคิดคนเปลี่ยนไป

การแพร่ระบาดของโควิด ทำให้รูปแบบการทำงานของคนเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการต้องทำงานที่บ้าน (Work from Home), การทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) หรือการทำงานจากระยะไกล (Remote Working)

นั่นทำให้การทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ คนเริ่มชินกับวัฒนธรรมนี้ และเริ่มมีแนวคิดว่า จริงๆ แล้วการทำงานที่ได้ประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวันก็ได้ และเริ่มมองหางานใหม่ที่ให้ความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น

โดยมีผลสำรวจระบุว่า พนักงาน 1 ใน 3 ไม่ต้องการทำงานกับบริษัทที่ให้ทำงานในออฟฟิศตลอดเวลา และเกือบครึ่งหนึ่งบอกว่าหากบริษัทไม่ขยายนโยบายการทำงานจากระยะไกล พวกเขาจะลาออกไปทำงานที่อื่น

แล้วทำไมคนถึงไม่อยากกลับไปทำงานที่ออฟฟิศแบบเต็มเวลา?

สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะการทำงานระยะไกลทำให้พนักงานจัดสรรเวลาในแต่ละวันได้เอง, ประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้าที่ต้องใส่ไปทำงาน ค่าอาหาร รวมถึงไม่ต้องเผชิญกับสภาวะการเมืองในที่ทำงาน เป็นต้น

2.ภาวะหมดไฟ (Burnout)

ผลสำรวจของเว็บไซต์หางานในสหรัฐฯ อย่าง Monster.com ซึ่งสำรวจคนอเมริกันวัยทำงาน 649 คน พบว่า 95% ระบุว่าพวกเขากำลังตัดสินใจลาออกจากงาน ซึ่งคนส่วนใหญ่ระบุว่าสาเหตุมาจากภาวะเบิร์นเอาท์ หรือเหนื่อยล้าหมดไฟในการทำงาน

ซึ่งภาวะหมดไฟเกิดขึ้นจากการที่ไม่สามารถแบ่งเวลาทำงานกับเวลาพักผ่อนส่วนตัว หักโหมทำงานมากไปเพราะหวังว่าประสิทธิภาพการทำงานจะดีขึ้น กลายเป็นมีแรงกดดันมากขึ้นจากการทำงานด้วยตัวเอง

จนนำมาสู่ความเครียด นอนไม่หลับ ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เบื่อหน่าย และอยากลาออกในที่สุดนั่นเอง

3.วิธีที่นายจ้างปฏิบัติ (หรือไม่ปฏิบัติ) ต่อพนักงาน

ก่อนโควิดพนักงานบางคนอาจเผชิญกับความรู้สึกอยากลาออก เพราะวัฒนธรรมองค์กรที่ย่ำแย่ของบริษัทอยู่แล้ว พอมาเจอโควิดทำให้เหมือนมาสู่จุดแตกหักได้เร็วขึ้น

โดยการศึกษาของ Stanford พบว่า บริษัทหลายแห่งที่มีสภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่ดี หรือปฏิบัติกับพนักงานแบบไม่ดีนัก ทำให้คนอยากลาออกมากขึ้นเป็น 2 เท่า เช่น ใช้มาตรการเลิกจ้างทันทีที่โควิดระบาด

หรืออีกกรณีที่เห็นได้ชัดในสหรัฐฯ คือการที่บางธุรกิจ เช่น ค้าปลีก ให้พนักงานที่ต้องติดต่อกับผู้คนมาทำงานในจำนวนชั่วโมงทำงานที่มากขึ้นในช่วงโควิด โดยไม่มีมาตรการความปลอดภัย ไม่มีหลักประกันค่าจ้างหากลาป่วยให้ ทำให้พนักงานเหนื่อยหน่ายและอยากลาออกมากขึ้น

โดยในเดือน เม.ย. เพียงเดือนเดียว แรงงานในอุตสาหกรรมค้าปลีกของสหรัฐฯ ลาออกไปเกือบ 650,000 คน

นั่นเพราะปกติพนักงานก็สนใจสภาพแวดล้อมและคาดหวังการปฏิบัติที่ดีจากนายจ้างอยู่แล้ว แต่ยิ่งเมื่อมีสถานการณ์โควิด ความคาดหวังเหล่านั้นก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นอยากให้บริษัทใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่, สุขภาพกาย, สุขภาพใจ หรือคาดหวังให้นายจ้างทำอะไรสักอย่าง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน หรืออย่างน้อยก็รับทราบข้อกังวลของพนักงานนั่นเอง

4.สาเหตุอื่นๆ

นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ เพิ่มเติม คือ พนักงานรู้สึกขาดโอกาสเติบโตในที่ทำงานเดิม, ต้องการย้ายไปหาบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงิน รวมถึงอยากเปลี่ยนไปทำงานในอุตสาหกรรมที่เหมาะกับตำแหน่งของตัวเองด้วย

[คนเป็นหัวหน้างานต้องทำอย่างไร]

Rob Falzen รองประธานบริษัท Prudential Financial ระบุว่า ถึงแม้จะมีพนักงานคนเดียวที่คิดจะลาออก บริษัทก็ควรเริ่มกังวล และหากลยุทธ์เพื่อรักษาพนักงานเอาไว้ ซึ่งเขาแนะนำไว้ดังนี้

-ข้อแรก บริษัทควรคิดทบทวนว่าจะรักษาวัฒนธรรมในองค์กร พร้อมๆ กับช่วยให้พนักงานรู้สึกเชื่อมโยงกับองค์กรและหัวหน้างาน ในสภาพที่ต้องทำงานระยะไกลได้อย่างไร

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือไม่ใช่ทำให้พวกเขาเชื่อมโยงกับองค์กร ด้วยการให้กลับมาทำงานที่ออฟฟิศเต็มเวลาอีกครั้ง เพราะผลสำรวจของ Prudential ชี้ว่า พนักงานอยากทำงานแบบยืดหยุ่นต่อไป แม้สถานการณ์การระบาดจะเริ่มคลี่คลายแล้วก็ตาม

โดยพนักงานส่วนใหญ่ต้องการการทำงานในรูปแบบ Hybrid หรือผสมผสานระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศและจากที่อื่น ซึ่ง Prudential ก็จะนำโมเดลนี้มาใช้ในอีกไม่กี่เดือนจ้างหน้า

-ข้อสอง Falzen กล่าวว่า การระบาดครั้งนี้ทำให้ผู้คนกังวลมากขึ้นว่าจะไม่ได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงาน ยกเว้นว่าจะลาออกจากบริษัทเท่านั้น

เนื่องจากการระบาดทำให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับตัวหลายด้าน และดูแลพนักงานในด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต จนโฟกัสการฝึกอบรมทักษะใหม่ๆ ให้พนักงานน้อยลง

ดังนั้น สิ่งที่องค์กรต่างๆ ควรทำคือการยื่นข้อเสนอที่จะเสริมสร้างอนาคตให้พนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการหนทางในการอัพสกิล (upskill), รีสกิล (reskill) ซึ่งหมายถึงการต่อยอดทักษะที่มีอยู่เดิม และเพิ่มทักษะใหม่ๆ

นอกจากนี้องค์กรยังควรมองไปถึงการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งอาจช่วยจัดการกับข้อกังวลของพนักงานอย่างเรื่องความยืดหยุ่นทางการเงินออกไปได้

เพราะเมื่อคนสามารถหางานทำได้จากทุกที่ พวกเขาก็จะมองหาองค์กรที่ให้ผลตอบแทนดี อยู่แล้วมีโอกาสเรียนรู้และก้าวหน้า และคำนึงถึงสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (work-life balance) ของพนักงานด้วย

และหากบริษัทไม่สามารถมอบสิ่งเหล่านั้นให้พนักงานได้ ท้ายที่สุดก็จะสูญเสียพนักงานที่มีความสามารถไปนั่นเอง

อ้างอิง:

https://www.cnbc.com/2021/04/19/1-in-4-workers-is-considering-quitting-their-job-after-the-pandemic.html

https://www.bbc.com/worklife/article/20210629-the-great-resignation-how-employers-drove-workers-to-quit

https://www.cnbc.com/2021/04/20/how-companies-will-have-to-rethink-culture-for-future-remote-workers.html

https://www.cnbc.com/2021/08/04/more-workers-plan-to-quit-as-better-job-opportunities-open-up.html

https://www.themuse.com/advice/10-reasons-working-remotely-is-even-better-than-you-thought-it-was

https://www.cnbc.com/2021/08/25/great-resignation-55-percent-are-looking-to-change-jobs-over-the-next-year-.html

https://www.ba.cmu.ac.th/th/accba16042563-3/

https://www.newsday.com/business/quit-great-resignation-remote-work-1.50337842

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า