คนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นประจำ โดยเฉพาะทวิตเตอร์ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ จะเห็นว่ากลุ่มนิสิตนักศึกษาในหลายสถาบันเริ่มออกมาเคลื่อนไหวและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้กันอย่างคึกคักผิดหูผิดตา โดยเฉพาะเทรนด์การติดแฮชแท็กประจำสถาบันการศึกษา ที่แม้บางสถาบันฯ จะไม่ได้กล่าวถึงชื่อสถาบันโดยตรง แต่ก็เชื่อได้ว่าคนส่วนใหญ่น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก

นิสิตนักศึกษาจุฬาลงกรณ์ ประมาณ 500 คนร่วมปราศรัย แสดงพลัง พร้อมจุดเทียนไว้อาลัยให้กับความยุติธรรมที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราและขับร้องเพลง Do you hear the people sing ที่บริเวณลานข้างหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช / ThaiNewsPix
จะเห็นได้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเด็นร้อนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในสังคมไทยและสังคมโลก มักปรากฎในรูปแบบของการติดแฮชแท็ก ซึ่งนี่ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของทวิตเตอร์ที่ไม่มีใครเหมือน ข้อดีของมันคือทำให้ผู้ใช้รู้ได้ว่าในแต่ละวันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง มีต้นตอและที่มาอย่างไร หรือใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวต่างๆ อย่างละเอียด ก็สามารถตามดูได้ในแฮชแท็กนั้นๆ ได้ทันที เนื่องจากทวิตเตอร์เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถโพสต์ข้อความได้ในจำนวนจำกัดเพียง 280 ตัวอักษร จึงทำให้ข้อความต่างๆ เป็นข้อความที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย ตอบสนองพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการอ่านข้อมูลปริมาณมหาศาล แต่ก็สามารถทราบเรื่องราวและที่มาของเรื่องราวต่างๆ ได้ในเวลาอันสั้น
จุดเริ่มต้นของ “แฮชแท็ก” (#) ในโซเชียลมีเดีย
จุดเริ่มต้นของการใช้เครื่องหมายแฮชแท็กในสื่อสังคมออนไลน์ เชื่อว่าเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงยุค 2000 ซึ่งปรากฏใน IRC (Internet Relay Chat) ซึ่งเป็นรูปแบบในการพูดคุยแบบกลุ่มบนอินเทอร์เน็ตเพื่อใช้เป็นป้ายบอกชื่อกลุ่มและหัวข้อต่างๆ ต่อมาวันที่ 23 สิงหาคม 2007 “คริส เมสซิน่า” ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีของสังคมออนไลน์ในขณะนั้น ได้ทวีตด้วยการติดแฮชแท็กลงในทวิตเตอร์เป็นคนแรก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทวิตเตอร์จึงนำแฮชแท็กมาใช้เป็นคุณสมบัติอย่างเป็นทางการ เพื่อทำการจัดกลุ่มทวิตที่มีความเหมือนกันหรือคล้ายกัน ให้มาอยู่ในที่เดียวกัน ด้วยความสามารถพิเศษของแฮชแท็ก ในการรวบรวมความสนใจ ความคิด ความเชื่อของผู้คนที่มีความหลากหลาย ทั้งในด้านสังคม การเมือง วัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ ทั้งจากเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือแม้แต่ความขัดแย้งทางการเมือง แฮชแท็กจึงนับว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้าง “ชุมชน” หรือ “การรวมตัวแบบเฉพาะกิจ” และการตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อเหตุการณ์และประเด็นที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจอย่างมีประสิทธิภาพ
นับตั้งแต่ #MeToo ไปจนถึง #FreeIran #iPhoneX #Pope #ClimateChange และอื่นๆ แฮชแท็กจึงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของยุคแห่งสื่อและอิเล็กทรอนิกส์ ที่นำไปสู่การกดติดตาม รีทวีต และกดไลค์ ที่ช่วยก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ หลายครั้งทั่วโลก
แฮชแท็กกับการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง
ปัจจุบัน ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์มีส่วนอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ช่วยจุดประกายให้คนทั่วไปได้ทบบวนถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองที่มีต่อพลเมืองร่วมโลก การเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในแง่ตัวเลขของแฮชแท็กใดแฮชแท็กหนึ่ง อาจนับว่าเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจน เมื่อพิจารณาในแง่ของการสร้างความตระหนักรู้ในประเด็นสำคัญ โดยพบว่า ผู้ใช้ทวิตเตอร์ 335 ล้านคน จะทวีตรวมกันราว 500 ล้านครั้งต่อวัน และกว่าร้อยละ 80 ที่เป็นการทวีตผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นผู้ใช้ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 49 ปี
การมีส่วนร่วมในทางตรงในลักษณะนี้ ได้ก่อให้เกิดความเป็นไปได้ในการสร้างปฏิสัมพันธ์แบบสองทางระหว่างพลเมืองและรัฐบาล ซึ่งหมายความว่า ทั้งสองฝ่ายจะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน และข้อเรียกร้องของประชาชนในด้านความรับผิดชอบและความโปร่งใส จะต้องได้รับการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ
แฮชแท็ก นอกจากจะเป็นเครื่องมือเพื่อการท้าทายอำนาจของผู้นำเผด็จการในตะวันออกกลาง เป็นจนถึงการเปิดโปงอาชญากรรมทางเพศที่ซ่อนเร้นในฮอลลีวูด แฮชแท็กยังอาจเป็นเครื่องมือสำหรับการท้าทายอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในการควบคุมข้อมูลของรัฐบาล และการเรียกร้องต่อสังคมให้ออกมาตรวจสอบและตั้งข้อสงสัยต่อสิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญของสังคมด้วย
แฮชแท็กที่ได้รับความนิยมยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงการวิพากษ์วิจารณ์ ความโกรธเกรี้ยว และชี้ให้เห็นถึงความอยุติธรรมที่พบเห็นได้ในทุกสังคม โดยในประเทศประชาธิปไตย จึงมักไม่พบเห็นมาตรการการระงับใช้บริการสื่อออนไลน์ ดังที่พบเห็นในประเทศที่มีผู้นำเผด็จการ และความขัดแย้งในเชิงนโยบายและการเมืองในโลกออนไลน์ อาจนำไปสู่เหตุการณ์สำคัญ เช่นการประท้วงครั้งใหญ่ในกรุงปารีส ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ปัจจุบัน แฮชแท็กจึงเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพของบุคคลที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นใดๆ และนำไปสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทางการเมืองในรูปแบบใหม่
แฮชแท็กกับการเปลี่ยนแปลงโลก
เมื่อปี 2015 บรรดาคนดัง นักการเมือง และผู้คนทั่วไป ได้ร่วมกันติดแฮชแท็ก #RefugeesWelcome เพื่อกดดันให้แก่รัฐบาลชาติต่างๆ ในสหภาพยุโรป ยอมรับผู้อพยพที่ต้องหนีภัยสงครามในซีเรีย และชี้ให้คนทั่วโลกได้เห็นถึงความพยายามในการเดินทางข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียน ที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย ส่วนในปี 2016 แฮชแท็ก #EthnicCleansing ที่เกี่ยวข้องกับการกวาดล้างชาวโรฮิงญาในเมียนมา ได้นำไปสู่การเรียกร้องต่อองค์การสหประชาชาติ เพื่อสืบสวนเหตุความรุนแรงและการกระทำทารุณต่อชาวโรฮิญาในรัฐยะไข่
เมื่อปี 2017 คงไม่มีข่าวไหนโด่งดังไปกว่า การล่วงละเมิดทางเพศนักแสดง นางแบบ และลูกจ้างหญิง ที่ยอมเปิดเผยตัวมากกว่า 40 คน ซึ่งกินเวลายาวนานเกือบ 30 ปี ของฮาร์วีย์ ไวน์สตีน (Harvey Weinstein) ผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดังผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์คุณภาพจำนวนมาก จนนำไปสู่การเกิด #MeToo แฮชแท็กเพื่อการเคลื่อนไหวของผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศทั่วโลก จุดเริ่มต้นของ #MeToo เกิดขึ้นเมื่อนักแสดงสาวชาวอเมริกัน อลิซซา มิลาโน และโรส แม็กโกแวน หนึ่งในผู้เสียหาย ได้ออกมาทวีตว่า “หากคุณเคยถูกคุกคามหรือล่วงละเมิดทางเพศ จงเขียนสเตตัสว่า ‘Me Too’ แล้วพวกเราอาจจะช่วยให้ผู้คนเข้าใจว่าปัญหานี้ใหญ่โตเพียงใด”
#BlackLivesMatter เป็นแฮชแท็กที่ได้รับเลือกจากสมาคมภาษาถิ่นอเมริกันให้เป็นคำแห่งปี 2014 แฮชแท็กนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2013 หลังเหตุการณ์การเคลื่อนไหวของคนผิวดำในปี 2012 หลังจากตำรวจผิวขาวนายหนึ่งพ้นข้อหาฆาตกรรมวัยรุ่นผิวสีในรัฐฟลอริดา รวมถึงเหตุการณ์สังหารชายผิวสีถูกตำรวจผิวขาวยิงเสียชีวิตที่เมืองเฟอร์กูสัน ชาร์ลส์ตัน และบัลติมอร์ของสหรัฐ เมื่อปี 2014 และที่นครนิวยอร์ก
ส่วนเมื่อปี 2014 ได้เกิดแฮชแท็กที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกอย่าง #ASLIceBucketChallenge ซึ่งเป็นแคมเปญช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม หรือ ASL ที่มีเป้าหมายเพื่อรณรงค์ให้คนทั่วไปตื่นตัวเรื่องโรคนี้ โดยเริ่มต้นจากการที่ “พีท เฟรตส์” อดีตนักกีฬาเบสบอลระดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ที่ป่วยเป็นโรคนี้ได้เป็นคนจุดประกายแคมเปญนี้ขึ้น เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยโรคนี้ ส่วนเมื่อปี 2014 ได้เกิดแฮชแท็กที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกอย่าง #ASLIceBucketChallenge ซึ่งเป็นแคมเปญช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม หรือ ASL ที่มีเป้าหมายเพื่อรณรงค์ให้คนทั่วไปตื่นตัวเรื่องโรคนี้ โดยเริ่มต้นจากการที่ “พีท เฟรตส์” อดีตนักกีฬาเบสบอลระดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ที่ป่วยเป็นโรคนี้ได้เป็นคนจุดประกายแคมเปญนี้ขึ้น
แคมเปญถูกออกแบบเพื่อให้กลายเป็น “ไวรัล” มาตั้งแต่แรก เนื่องจากผู้เล่นต้องแท็กชื่อเพื่อน 3 คน หากใครรับคำท้าก็ต้องแท็กชื่อเพื่อนต่อไปอีก 3 คน เป็นการท้าทายและส่งสารให้คนในโซเชียล ให้เห็นภายใน 24 ชั่วโมงนับตั้งแต่มีผู้ท้า
ทุกอย่างมีด้านลบ
แฮชแท็กอาจถูกนำไปใช้เพื่อการข่มเหง ดูถูกเหยียดหยาม และสร้างความแตกแยกในสังคมให้รุนแรงยิ่งขึ้น และอาจช่วยแพร่ขยายสิ่งที่เรียกว่า “เฟคนิวส์” #FakeNews มันยังอาจสร้างข้อกล่าวหาที่สร้างความเสื่อมเสียและทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง โดยไม่สามารถรับประกันได้ว่าผู้ที่ถูกกล่าวหานั้น จะได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่
โดยเฉพาะที่มีความเสี่ยงต่อการกระทำทารุณ ดูถูกเหยียดหยาม และใส่ร้าย ที่นำไปสู่การตัดสินแบบ “ศาลเตี้ย” ของคนทั่วไป ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ยังอาจสามารถเผยแพร่ข้อมูลเพื่อมุ่งทำลายบุคคลในโลกออนไลน์ ที่อาจสร้างผลกระทบในวงกว้างในโลกแห่งความเป็นจริง และไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายใดๆ การโจมตีผู้อื่น โดยอ้างเหตุผล “ความขุ่นเคืองอันชอบธรรม” “มีเหตุอันชอบธรรม” ยังนำไปสู่รูปแบบสุดขั้วของแนวคิด “เผ่าพันธุ์นิยม” ในโลกออนไลน์ โดยที่หลายคนไม่รู้ตัว ที่ทำให้สิทธิและศักดิ์ศรีของบุคคลหนึ่ง ตกอยู่ในอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ