SHARE

คัดลอกแล้ว

The Studio ซีรีส์คอมเมดี้เสียดสีวงการฮอลลีวูดเรื่องล่าสุด จาก Apple TV เป็นซีรีส์ที่ไม่ได้โดดเด่นเพียงแค่มุขตลกเฉียบคม และการดำเนินเรื่องที่ทำให้ผู้ชมหัวเราะกับความหายนะของตัวละครทุกนาทีเท่านั้น แต่ยังน่าประทับใจ ด้วยทัพนักแสดงชั้นนำ และการทยอยปรากฏตัวของเหล่าดาราดังมากมาย ที่มารับบทเป็นตัวเองแบบอลังการดาวล้านดวง

 

Series Society โดยสำนักข่าว TODAY ได้พูดคุยกับทีมงานเบื้องหลัง และนักแสดงนำของซีรีส์เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น Seth Rogen ผู้รับบท “แมตต์ เรมิก” และเป็นผู้ร่วมสร้าง, นักเขียนบท, ผู้กำกับ, ผู้อำนวยการสร้าง พร้อมด้วย Catherine O’Hara ผู้รับบท “แพตตี้” รวมถึงทีมงานและนักแสดงคนอื่นๆ อย่าง Evan Goldberg, James Weaver, Kathryn Hahn, Ike Barinholtz และ Chase Sui Wonders

[แรงบันดาลใจจากประสบการณ์จริงในฮอลลีวูด]

Seth Rogen เผยถึงแรงบันดาลใจในการพัฒนาแนวคิดของซีรีส์นี้ ร่วมกับ Evan Goldberg ว่า “วงการนี้มันเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เต็มไปด้วยความเครียด ความตื่นตระหนก และบางทีก็ความสิ้นหวัง ซึ่งเราทั้งคู่ก็อยากจะสะท้อนสิ่งนั้นออกมา” เขาเล่าถึงการเริ่มต้นในวงการพร้อมกับ Evan

“ผมกับ Evan เคยทำสิ่งเหล่านี้มาร่วมกันในชีวิตจริง ผมย้ายมา L.A. ก่อนเขาไม่กี่ปี แต่เราก็ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่ อายุประมาณ 22 แล้ว จนถึงตอนนี้เรายังคงร่วมมือกัน และมีความสัมพันธ์ในการทำงานที่ยอดเยี่ยม ผมรู้สึกซาบซึ้งมากกับสิ่งนี้”

“การมีเพื่อนที่คุณเติบโตมาด้วยกัน อยู่เคียงข้างในวงการนี้ เป็นสิ่งที่ช่วยให้มันง่ายขึ้นมาก มันให้ความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคง การได้นำไอเดียที่สะท้อนประสบการณ์ของเราทั้งคู่ในฮอลลีวูดมาสร้าง โดยไม่ใช่เรื่องของนักแสดงหรือความโด่งดัง แต่เป็นแง่มุมของ ‘ธุรกิจ’ จริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทั้งสองมีประสบการณ์เท่าๆ กัน มันดีมากเลยครับ”

[นำเสนอฮอลลีวูดแบบเรียลๆ]

ในฐานะผู้ร่วมสร้าง นักเขียนบท ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้าง Evan Goldberg  เผยว่า “สิ่งที่เราชอบมากเกี่ยวกับประเด็นนี้ คือ เราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฮอลลีวูดดูน่าชื่นชมเกินจริง เราอยากเล่า ‘เวอร์ชันจริง’ ของฮอลลีวูด ซึ่งมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

“ทุกวันนี้คนอาจจะมองโลกอย่างเหนื่อยหน่ายและขี้ระแวง แต่ฮอลลีวูดส่วนใหญ่ คือคนที่มีแพสชันแรงกล้า ใส่ใจในงาน และไม่อยากทำอย่างอื่นในชีวิตนี้เลย ไม่ว่าคุณจะอยู่จุดสูงสุดหรือต่ำสุดในเส้นทางอาชีพ ทุกคนในวงการนี้มีความหลงใหลในแบบที่อุตสาหกรรมอื่นไม่มี”

“เราเลยได้หยิบเอาความหวัง และความฝันเหล่านี้มาใส่ในซีรีส์ เพราะมันมาจากประสบการณ์จริงที่เราเคยเจอ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกอย่างจะออกมาดี บางคนประสบความสำเร็จ บางคนล้มเหลว แต่ ‘ความหลงใหล’ นั่นแหละ คือสิ่งที่ซึมลึกอยู่ในทุกเรื่องที่เล่า”

[ซีรีส์หยิกแกมหยอกวงการฮอลลีวูดล]

ระหว่างพูดคุย James Weaver ผู้อำนวยการสร้าง ก็เล่าถึงที่มาของ The Studio และการพาดพิงถึงสตูดิโอสร้างภาพยนตร์อื่นๆ

“ตอนเริ่มต้น เรารู้อยู่แล้ว ว่านี่จะเป็นซีรีส์ที่พูดถึงความรักในการทำหนังของพวกเราเอง และนั่นคือมุมมองที่ทุกอย่างในเรื่องมันถูกเล่าผ่านเลนส์นี้ ไม่ว่าจะเป็นมุกที่พูดถึง A24 หรือบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในเรื่อง — เราเคยทำหนังกับ A24 มาก่อน พวกเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม และสร้างงานที่น่าทึ่งจริงๆ The Studio เป็นเหมือนภาพสะท้อนประสบการณ์ของเรากับฮอลลีวูดตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เราเลยพยายามเล่า ‘ความจริง’ ผ่านเลนส์ของอารมณ์ขันและความสนุก”

“เราไม่ได้กังวลว่าคนจะดูซีรีส์นี้ แล้วคิดว่าเป็นการจิกกัดฮอลลีวูด เพราะเรารักฮอลลีวูด และเรารู้สึกโชคดีที่ได้ทำหนัง ดังนั้นมันเป็นเหมือนการเล่าประสบการณ์ของเรา ผ่านมุมมองตลก มากกว่าจะเป็นการวิจารณ์หรือแฉวงการนี้”

[ดึงดาราระดับตำนานมาร่วมแสดง]

หนึ่งในสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของซีรีส์นี้ คือการดึงดารา และผู้กำกับระดับแนวหน้าของฮอลลีวูดมาร่วมแสดงเป็นตัวเอง ในซีรีส์ ซึ่ง Seth Rogen เผยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย

“ไม่ง่ายเลยครับ เราเป็นแฟนตัวยงของหนังประเภทนี้มาตลอด ผมโตมากับหนังที่มีดาราดังเยอะๆ หรือมีเซอร์ไพรส์แคมิโอเยอะๆ พอเราทำเรื่องนี้ เราก็รู้ว่าหลายคนชอบล้อเลียนตัวเอง และถ้าใช้พวกเขาให้ถูกทาง — ไม่ใช่แค่ยัดเยียดเข้าไปเฉยๆ แต่ให้พวกเขามีบทที่ขำและได้โชว์ ผู้ชมก็จะรักมัน และผมเองก็ชอบด้วยในฐานะคนดูหนัง”

“สิ่งที่เราตั้งใจ คือการสร้างโลกที่ ‘ดูจริง’ ขึ้นมา อย่าง ถ้าตัวละครเป็นหัวหน้าสตูดิโอ เขาก็ควรจะดีใจ ตื่นเต้น หรือลุ้นที่จะได้ร่วมงานกับคนพวกนี้จริงๆ เราอยากให้มันรู้สึกน่าเชื่อ ส่วนตัวละครก็ถูกเขียนให้ตลกและน่าเล่น นั่นคือเหตุผลที่เราดึงดาราเหล่านี้มาได้ — เพราะบทมันน่าสนุกจริงๆ”

ก่อนที่ James Weaver จะเสริม เกี่ยวกับการรวบรวมดาราคนดังมาร่วมงาน “ทุกคนมีที่มาที่แตกต่างกันครับ Martin Scorsese คือคนที่พวกเราชื่นชมกันมานาน และไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ร่วมงาน พอ Seth กับ Evan เขียนบทให้เขา พวกเราก็ส่งบทไปให้เขาอ่าน และเขาก็ตอบกลับมาว่าอยากเล่น”

“ส่วนนักแสดงแบบ Charlize Theron หรือ Zac Efron พวกเขาเป็นคนที่เราทำงานด้วยมาก่อนแล้ว เลยติดต่อได้โดยตรง บอกว่า ‘เฮ้ เรามีบทนี้ในซีรีส์นะ’ สำหรับคนใหม่ๆ ที่เราไม่เคยร่วมงานด้วยอย่าง Zoë Kravitz หรือ Olivia Wilde เราก็ต้องไปพบ พูดคุยกันเกี่ยวกับบทที่เราเขียนไว้ ด้าน Seth กับ Evan เองก็มีซูมคุยกับทุกคนก่อนที่พวกเขาจะตอบตกลง”

“เป็นเรื่องดี เพราะพอ Martin Scorsese ตอบรับปุ๊บ หลายสายโทรศัพท์ต่อมาก็เริ่มต้นด้วยประโยคว่า ‘คือ Martin Scorsese จะมาเล่นเรื่องนี้นะ คุณสนใจไหม?’ แล้วคนส่วนใหญ่ก็มักจะตอบว่า ‘โอเค เล่นก็ได้’ (หัวเราะ)”

[มุมมองของนักแสดงและแรงบันดาลใจ]

นักแสดงนำของเรื่อง ต่างเล่าถึงแรงบันดาลใจในการสร้างตัวละครของตนเอง อย่างที่

Chase Sui Wonders (รับบท “ควินน์”): “เพื่อนสนิทของฉัน Hannah Offer เธอเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ และเธอเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมาก พร้อมจะครองโลกเลยก็ว่าได้ แต่ก็ยังต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเอง และรอเวลาของตัวเองให้มาถึง ฉันคิดว่าคนรุ่นใหม่ที่มีความทะเยอทะยานหลายคนก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นดี — เธอคือหนึ่งในคนที่ฉันนึกถึงตอนเล่นบทนี้เลยค่ะ”

Kathryn Hahn (รับบท “มายา”): “สำหรับฉันไม่ได้มีใครที่เจาะจงชัดเจนขนาดนั้นค่ะ สิ่งที่เขาเขียนมาในบทค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว และฉันก็ทำตามนั้น แต่พอเริ่มสวมชุดแต่งกายของตัวละคร มันก็มี ‘ใครบางคน’ แว่บเข้ามาในหัวอยู่เหมือนกันค่ะ (หัวเราะ)”

Ike Barinholtz (รับบท “แซล”): “คล้ายๆ กับตัวผมเองครับ ตัวละครของผมได้แรงบันดาลใจมาจากบรรดาผู้บริหารในสตูดิโอ ที่ผมเคยร่วมงานด้วยตลอดหลายปีที่ผ่านมา — บางคนก็ยอดเยี่ยม บางคนก็ไม่ค่อยยอดเยี่ยมเท่าไหร่ ผมเอาช่วงโมเมนต์เล็กๆ จากหลายคนมารวมกัน แล้วใส่ไว้ในตัวละคร Sal ครับ”

Catherine O’Hara (รับบท “แพตตี้”) เล่าถึงความท้าทายที่สุดในการทำงานครั้งนี้: “สำหรับนักแสดงอย่างฉัน มันคือช่วงเริ่มต้นตอนพัฒนาตัวละคร เพราะคุณต้องเลือกจากความเป็นไปได้เป็นล้านๆ แบบในความเป็นมนุษย์ และคุณไม่อยากเลือกผิด เพราะถ้าเป็นซีรีส์ คุณไม่รู้เลยว่าจะต้องเล่นอีกกี่ตอน แต่คุณก็ต้อง ‘ล็อก’ วิธีการแสดงไว้ตั้งแต่แรก มันน่ากลัวจริงๆ ค่ะ แต่การได้ร่วมงานกับคนเก่ง มั่นใจ ตลก และพร้อมร่วมมือกัน ช่วยให้ผ่านตรงนั้นไปได้เยอะเลย”

เมื่อถูกถามเกี่ยวกับอนาคตของฮอลลีวูดและสิ่งที่หวังให้ผู้ชมได้รับจากซีรีส์นี้ Seth และ Catherine ก็ทิ้งท้ายว่า

“ผมหวังว่าผู้ชมจะรู้สึกว่ามันตลกและสนุก และอยากกลับมาดูต่อเรื่อยๆ ถ้าพวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับมันได้ ก็ดี ถ้ามันเปิดโลกให้พวกเขาเห็นเบื้องหลังวงการ ก็ดี ถ้าพวกเขารักหนังแล้วรู้สึกว่าซีรีส์นี้พูดกับพวกเขาได้ นั่นก็เยี่ยมแล้ว แต่ก่อนอื่นเลย เราแค่อยากให้ผู้ชมรู้สึกว่า ‘นี่มันเป็นซีรีส์ที่ตลกและดีจริงๆ’”Seth Rogen เล่า

ขณะที่ Catherine O’Hara บอกว่า “ฉันชอบที่นี่คือ ‘ซีรีส์ทีวีที่พยายามให้คนกลับไปดูหนัง'” ตรงกับที่ Seth Rogen คิดเอาไว้เปะ “ใช่เลย นั่นแหละมุกเด็ดของเรา — เรารักหนังมากจนต้องสร้าง ‘ซีรีส์สตรีมมิ่ง’ ขึ้นมาเกี่ยวกับมัน ถ้าคุณรักหนัง นี่แหละคือจุดจบของคุณ — มาทำซีรีส์แทน”

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า