SHARE

คัดลอกแล้ว

ดราม่าสะเทือนวงการสาธารณสุขไทย เมื่อพีท คนเลือดบวก นักรณรงค์ความเท่าเทียมให้คนติดเชื้อ HIV ประกาศให้สังคมรู้ว่า คนติด HIV ก็สามารถมีเซ็กส์แบบสดๆได้ โดยไม่จำเป็นต้องแพร่เชื้อให้คนอื่น ถ้ารู้วิธีการมีเซ็กส์ที่ถูกต้อง แต่เขาก็โดนบุคลากรทางการแพทย์ถล่มยับ ว่าจะไปสนับสนุนให้คนไม่ใส่ถุงยางอนามัยทำไม

และดราม่าทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น เมื่อกิ่ง นริญญา พยาบาลสาวคนดัง ที่มีประวัติการวอร์ในหลายๆประเด็นมาแล้ว โจมตีด่าพีท คนเลือดบวกอย่างรุนแรง จนพีทตัดสินใจจะไปแจ้งความกับตำรวจ

เรื่องราวเป็นอย่างไร และจะขมวดปมไปสู่จุดไหน คนติด HIV แต่คิดจะมีเซ็กส์แบบสดๆ มันเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ Workpoint News จะสรุปสาระสำคัญทั้งหมดให้เข้าใจใน 23 ข้อ

1) พีท คนเลือดบวก มีชื่อจริงว่า ฐิฏิวัสส์ (อ่านว่า ทิ-ติ-วัด) ในแรกเกิด เขาเป็นคนจังหวัดนครสวรรค์ แต่หลังจากคุณแม่ต้องเข้าคุกในคดียาเสพติด ทำให้พีท และครอบครัว ประกอบด้วยคุณพ่อ พี่สาว และพี่เขย ย้ายถิ่นฐานไปเริ่มต้นใหม่ที่จังหวัดสงขลาแทน

2) พีทเป็นคนเรียนเก่งเรียนได้อันดับ 1 ของห้องในช่วงประถม แต่ชีวิตครอบครัวนั้นไม่มีความสุขนัก คุณพ่อกลายมาติดสุรา และชอบเอาความหงุดหงิดมาลงที่ตัวพีท “ด้วยความสัตย์จริง ตลอดเวลา 6 ปีกว่าที่พีทอยู่กับพ่อ พีทเกลียดพ่อมาก เกลียดชนิดที่แช่งให้ตายๆไปซะ” พีทกล่าว

“วันที่พีทหมดศรัทธากับพ่อ ชนิดที่เรียกพ่อแค่เป็นคำชื่อเรียก นั่นคือวันที่พ่อมอบภารกิจให้เราปลูกผัก 2 แปลง และสัญญาว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์ให้ ซึ่งในตอนนั้นพีทมีความสามารถโดดเด่นมากเรื่องคอมพิวเตอร์ แต่พ่อกลับไม่ทำตามสัญญา พีทเลยรู้สึกผิดหวังมาก ในตอนนั้นด้วยวัย 15 ปี”

3) พีทเก็บความรู้สึกเกลียดชังพ่อมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโตขึ้น และเริ่มทำการประชดชีวิตหลายเรื่องโดยที่หนักที่สุดคือ “พีทขอเงินพ่อแม่ มาทำธุรกิจ 3 แสน โดยเอาที่ดินไปจำนำแล้วตั้งใจทำให้เจ๊ง”

ในวัย 26 ปี พีทไปตรวจเลือดกับแฟน ปรากฎว่าตัวเองมีเชื้อ HIV แต่แฟนไม่มี โดยพีทยอมรับว่า เขาก็ไม่แน่ใจว่าได้รับเชื้อมาจากคู่นอนคนไหน ซึ่งเมื่อติดเชื้อ HIV กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้พ่อของพีทหมดความอดทน

พีทเล่าว่าตอนพ่อเมา พ่อด่าเขากับคนอื่นในครอบครัวว่า “ลูกกูแม่งไม่ได้เรื่อง ไม่มีห่าเหวอะไรเลยในชีวิต ทรพี หลอกเงินพ่อแม่ไปถลุง แล้วก็ไปติดเอดส์มาอีก” ตอนนั้นพีทนั่งอยู่อีกห้องแต่ได้ยินทุกคำที่พ่อพูด เขาเดินออกจากห้องแล้วสวนกลับไปว่า “ถ้าพ่ออายที่มีผมเป็นลูกขนาดนั้น พ่อลืมไปก็ได้นะ ว่ามีผมเป็นลูก คิดซะว่าผมตายไปจากครอบครัวนี้แล้ว”

4) จากนั้นพีทก็ย้ายออกจากสงขลาไปใช้ชีวิตที่ภาคเหนือ และที่กรุงเทพ โดยเดือนมกราคม 2561 เขาเลิกรากับแฟนหนุ่มที่ไปตรวจเลือดด้วยกัน ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง ดังนั้นจึงหันไปใช้ยาเสพติด และมั่วเซ็กซ์ โดยพีทเกือบจะฆ่าตัวตายแต่ยั้งสติไว้ได้ทัน จากนั้นเขาจึงเริ่มต้นตั้งหลักชีวิตใหม่ โดยเขาตัดสินใจหักดิบ เปิดเผยว่าตัวเองมีเชื้อ HIV ในตัว และตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเป็น “พีท คนเลือดบวก” ในทุกโซเชียลมีเดีย โดยตั้งใจจะให้ความรู้กับคนทั่วไป ว่าการเป็น HIV ก็ไม่ได้ทำให้คุณเสียชีวิต

5) จากนั้นเขาได้สร้าง Facebook ของตัวเองเพื่อเป็นช่องทางในการให้ความรู้เกี่ยวกับ การติดเชื้อ HIV คอยให้คำปรึกษาสำหรับคนติดเชื้อรายใหม่ ว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไร ไปรับยาที่ไหน สามารถมีชีวิตต่อไปอย่างยืนยาวเหมือนคนที่ไม่ติดเชื้อได้หรือไม่ พีท คนเลือดบวกมีความพยายามที่จะให้คนติดเชื้อ HIV ได้รับการยอมรับในสังคมทัดเทียมกับคนที่ไม่ติดเชื้อ

6) 24 พ.ย.2562 พีทออกมาโพสต์ว่า “พีทว่าน่าจะถึงเวลาที่ประชาชนควรได้รับรู้ ในเรื่องที่ไม่เคยมีใครบอกเรา” โดยพีทอธิบายว่า ในปัจจุบันคนที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใส่ถุงยางอนามัย ก็ไม่ได้แปลว่าจะติด HIV เพราะปัจจุบันมียาที่ชื่อ PrEP แล้ว

ยา PrEP คือยาที่ป้องกันการติด HIV ก่อนการสัมผัสโรค โดยสภากาชาดไทยอธิบายว่า หากผู้กินยา PrEP กินประจำต่อเนื่องทุกวัน จะสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้เกือบ 100%

นอกจากนั้น สำหรับคนที่มี HIV แต่กินยาต้านเชื้อจนมีค่า CD4 เป็นปริมาณมาก และสถานะเลือดเป็น Positive Undetecable หรือแปลว่า เลือดบวกไม่สามารถตรวจจับได้อีกต่อไปแล้ว และไม่สามารถแพร่เชื้อให้ใครได้อีก ต่อให้มีเซ็กส์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยก็ไม่มีปัญหา

7) พีทอธิบายว่า สำหรับคนที่ติด HIV สามารถมีเพศสัมพันธ์แบบสดๆ โดยไม่ต้องใส่ถุงยางอนามัยได้ และจะไม่ทำการแพร่เชื้อโรค โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มดังนี้

1- คนใช้ยา PrEP (ไม่ติดเชื้อ HIV) สามารถมีเซ็กส์กับคนติดเชื้อได้ โดยที่ตัวเองไม่ติดไปด้วย
2- คนที่มีสถานะเลือดเป็น Positive Undectable สามารถมีเซ็กส์ กับ คนปกติได้โดยไม่สามารถแพร่เชื้อให้ใครได้อีก

8) พีทบอกว่า “เราขอรณรงค์ให้เลิกการตีตรา และตำหนิการมีเซ็กส์แบบสดๆ โดยเงื่อนไขดังกล่าว แต่ส่งเสริมให้เราบอกต่อความรู้แก่คนที่มีรสนิยมเซ็กส์สด ให้เราได้ทำในสิ่งที่เค้าชอบและปลอดภัย”

9) ประเด็นคือ ผู้คนมาโจมตีพีทอย่างรุนแรงทันทีว่า จะไปสนับสนุนการไม่ใช้ถุงยางอนามัยไปทำไม ในเมื่อถุงยางสามารถป้องกันโรคอื่นๆ ได้ครบ ไม่ใช่แค่ HIV แต่หนองใน ซิฟิลิส ถ้าใช้ถุงยางก็ป้องกันได้หมด และการมีเซ็กซ์แบบไม่ป้องกัน ก็ไม่ใช่เรื่องดีที่ควรจะสนับสนุนด้วย

นอกจากนั้นคนที่กินยา PrEP ถ้ากินไม่สม่ำเสมอก็เสี่ยงที่จะติดเชื้อได้อีก และยังไงก็มีเปอร์เซ็นต์ที่จะติด HIV อยู่ดี นอกจากนั้นการที่ไปสร้างค่านิยมให้คนไม่อยากใช้ถุงยาง มันมีสิทธิจะเพิ่มปริมาณคนติดเชื้อได้ด้วย ทั้งๆ ที่ทุกฝ่ายพยายามรณรงค์ให้ มีเพศสัมพันธ์ด้วยการป้องกัน แต่อยู่ๆ พีทกลับสวนกระแสให้มีเซ็กส์แบบสดๆ แทนซะอย่างนั้น

10) 8 ธ.ค.2562 เพื่อพีทโดนด่ามากๆเข้า นั่นทำให้เขาโพสต์ตอบโต้ว่า

“เรากำลังปกป้องคนที่กำลังด่าเรา มันน่าปกป้องปะวะเนี่ย”

“คิดเล่นๆ ประชากรอยู่ร่วมกับ คนติด HIV 5 แสนคนทั้งประเทศ ถ้าเราปลุกระดมให้คนหยุดยา และแพร่เชื้อสัก 10% คือ 50,000 คน แล้วทำการส่งต่อ HIV วันละคน

วันที่ 1 : 50,000 คน
วันที่ 2 : 100,000 คน
วันที่ 3 : 200,000 คน
วันที่ 12 : 25,600,000 คน
วันที่ 13 : ยุติการส่งต่อ HIV ยุติการตีตรา ยุติการเลือกปฏิบัติ เพราะทุกคนเลือดบวกหมด ไม่รู้อะไรซะแล้ว พวกเราอุตส่าห์เก็บ HIV ที่ตัวเอง ยังจะมาเหยียด เดี๋ยวเถอะมึง บันเทิงแน่

11) จากประเด็นนี้ ทำให้คนเริ่มตั้งคำถามกับพีท ว่าจริงๆ แล้วมีทัศนคติอย่างไรกันแน่ คือเขาดูเป็นห่วง และให้ความสำคัญกับสังคมคนเลือดบวก แต่กับคนเลือดปกติเขารู้สึกอย่างไรก็ไม่สามารถตอบได้

“ต้องทำให้ HIV กลายเป็นเรื่องปกติให้ได้ พูดคุยกันเหมือนเรื่องส่วนสูงน้ำหนัก เปิดเผยผลเลือดกันเหมือนปกติ” พีทกล่าว

12) อย่างไรก็ตามพีทไม่ได้หยุดเรื่องมีเซ็กส์แบบสดๆ แค่นั้น เมื่อเขาตัดสินใจเปิดคอร์สสอนมีเซ็กส์แบบสดๆ วันที่ 12 ธันวาคม พีทได้ทวีตข้อความว่า (ผู้เขียนขออนุญาตใช้คำของพีทที่พิมพ์ไว้โดยตรง) “เปิดคอร์สเย็ดสดแบบปลอดภัย วันที่ 27 ม.ค.62 เวลา 17.00-2.00 น. ลงทะเบียนร่วมสมทบทุนโปรเจ็คต์ #ENDAIDS2020 คนละ 500 บาท รับจำกัด 20 คน”

13) ซึ่งเรื่องนี้ก็มีดราม่ามากมาย โดยเฉพาะกับบุคลากรทางการแพทย์ที่วิจารณ์ว่า การที่คนติดเชื้อมีความตั้งใจจะแนะนำการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน มันก็มีโอกาสเป็นการกระจายความเสี่ยงอยู่ดี และเมื่อมีคนติดเชื้อมากขึ้น ประเทศก็ต้องเสียทรัพยากรมาดูแลตรงนี้มากขึ้น ดังนั้นน่าจะดีกว่า ถ้าคนที่ติดเชื้อ ใช้บทเรียนที่ตัวเองได้รับ มาสอนคนที่ไม่ติดเชื้อ ว่าอย่าพลาดติดเชื้อเหมือนตัวเอง

14) 9 ธ.ค.2562 กิ่ง นริญญา พยาบาลสาวที่มีดีกรีจากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กของตัวเองว่า

“รำคาญอีพีท คนเลือดบวกตรรกะพังพินาศ ภูมิใจที่ตัวเองเย็ดสดไม่ใส่ถุงยางยังไม่พอ ยังจะภูมิใจที่ตัวเองเป็นหนองใน เป็นซิฟิลิสอีกหรอ อีประสาท ว่าจะไม่พูดละนะ คนด่าแทนชั้นไปหมดแล้วเรื่องจะไปไล่เย็ดคนอื่นให้ติดโรคแบบมึง ไม่ต้องไปฉอดใส่คนอื่นหรอก เอาตัวเองให้รอดก่อน เป็นนางบล็อค บล็อคเก่ง ใครเตือนก็ทำเป็นว่าเค้าความคิดติดลบ มึงมองตัวเองก่อน ทัศนคติต่ำเตี้ยเรี่ยดินยังจะเสนอหน้าไปฉอดใส่คนอื่นเค้าอีก ขอบคุณนะคะที่กล้าจะสอนพวกหนู น่าจะตายๆ ไป ยาต้านไม่เหมาะกับมึงหรอก น่าเอาไปให้คนที่เค้ามีคุณค่ากับโลกนี้กินดีกว่า ขอบคุณค่ะ”

15) ไม่เพียงแค่โพสต์ในหน้าวอลล์ของตัวเอง แต่กิ่งยังตามไปไล่คอมเมนต์ถึงเฟซบุ๊กของพีท คนเลือดบวก ในวันที่ 10 ธ.ค.ด้วยว่า

“ที่เค้าแหกหล่อนน่ะ ไม่ใช่การที่มึงพยายามจะรณรงค์การใช้ชีวิตร่วมกันของคนเลือดบวกกับคนปกติหรอก แต่เค้าแหกหล่อนเพราะเรื่องประสาทแดกจะเย็ดสดแตกในแล้วบอกว่าปลอดภัยนี่แหละอีควาย แยกด้วยสติ ประสาทแดกไปแล้ว ความรู้เท่าหางอึ่งจะเสร่อไปแนะนำคนอื่น แถมแนะนำในทางที่ผิดเหี้ยๆ ตายไปนรกยังไม่รับเลยรู้ไว้ด้วย
นอกจากคำขอโทษไม่มี ยังไม่มีสามัญสำนึกอีก ไม่เคยเห็นใครทุเรศเท่ามึงแล้วนะอยากจะบอก”

16) การด่าเป็นชุดใหญ่ เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาต่อเนื่อง ทำให้พีท คนเลือดบวก โพสต์ว่า จะขอดำเนินคดีกับ กิ่ง-นริญญา โดยระบุว่า “1 ในหลายร้อยกรณีตัวอย่าง ที่จะสอนให้นักวิจารณ์ได้รู้ว่า คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะวิจารณ์ใครเสียๆหายๆ แบบนี้ และคุณคือนักศึกษาพยาบาล เป็นว่าที่บุคลากรทางการแพทย์”

17) เพจทนายตัวแสบ : Badass Attorney ได้อธิบายสถานการณ์ว่า พีท เลือดบวก สามารถฟ้องกิ่ง นริญญาได้ ในความผิดฐานหมิ่นประมาท และภาษาที่ใช้ก็แรงจริง แต่ต้องพิสูจน์ว่าสิ่งที่กิ่ง-นริญญาพิมพ์ เป็นการใส่ความต้องบุคคลที่สาม จนถูกคนอื่นดูหมิ่นเกลียดชัง อย่างไรก็ตาม ในมุมของแอดมินเพจเชื่อว่า ศาลมีโอกาสยกฟ้องได้

18) แต่ในมุมของกระแสสังคม เทไปทางกิ่ง-นริญญามากกว่า โดยมีการตั้งแฮชแท็ก #SaveNarinya ขึ้นมาจนติดเทรนด์ในทวิตเตอร์ ขณะที่คนที่ไปฟอลโลว์ในเฟซบุ๊กของเธอปัจจุบันก็เพิ่มขึ้นถึงมากกว่า 4 หมื่นคนแล้ว

19) ในขณะนี้อยู่ที่ขั้นตอนการฟ้องร้องต่อไปว่าน้ำหนักที่พีท คนเลือดบวก จะเอามาโจมตีกิ่ง-นริญญามีความหนักแน่นพอหรือไม่ ซึ่งทางกิ่ง-นริญญาดูไม่ร้อนรน และมีการรับมือเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว โดยเธอได้เล่าสถานการณ์ต่างๆอัพเดทอยู่เรื่อยๆทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ขณะที่พีท คนเลือดบวก เตรียมจัดคอร์สอบรม “เย็ดสดแบบปลอดภัย” อีกครั้งในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ แต่ล่าสุด ร้าน The Cent ที่ไปเช่าสถานที่อบรมเอาไว้ ได้ออกมาแคนเซิลไม่ให้เช่าที่ และคืนเงินกับพีทไปเรียบร้อยแล้ว

20) สำหรับประเด็นของพีท คนเลือดบวกครั้งนี้ เขาโดนวิจารณ์อย่างหนัก ว่าทำให้ภาพลักษณ์ของคนมีเชื้อ HIV โดนทำลายในพริบตา จากที่ในอดีตผู้คนพยายามรณรงค์เรื่องให้ ผู้ติดเชิ้อ HIV อยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ แต่เมื่อมีกลุ่มแกนนำของผู้ติดเชื้อมาแสดงออกในลักษณะนี้ มันทำให้คนไม่ติดเชิ้อรู้สึกลบ กันคนมีเชื้ออย่างช่วยไม่ได

ความเห็นหนึ่งในโลกออนไลน์ระบุว่า “คนเขาพยายามกันเต็มที่ให้คนเปลี่ยนความคิด ซีรีส์เรื่องฮอร์โมน พละเป็น HIV ก็พยายามสอนให้คนรุ่นใหม่ได้รู้ว่า เป็น HIV ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเพราะ HIV กับเอดส์คือคนละอย่างกัน แต่พอมาเจอกรณีของพีท เลือดบวกแบบนี้ มันทำให้ความรู้สึกของคนทั่วไปที่เริ่มจะรับได้แล้ว กลับไปรู้สึกแย่อีกครั้ง”

21) นอกจากนั้น ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่มีการหยิบยกขึ้นมา คือสิ่งที่พีททำ เป็นการจงใจแพร่เชื้อ HIV โดยเจตนาหรือไม่ เพราะการกระตุ้นให้คนไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับผู้ติดเชื้อ มีโอกาสทำให้คนปกติได้รับเชื้อเช่นกัน อย่างไรก็ตามทางกฎหมาย ไม่มีกฎหมายสามารถเอาผิดอาญากับผู้กระทำการดังกล่าวได้ จึงไม่สามารถลงโทษอาญาแก่ผู้แพร่เชื้อ HIV โดยเจตนาให้กับผู้อื่นได้

22) สถานการณ์ล่าสุดตำรวจ สน.สุทธิสารไม่รับแจ้งความ พีท คนเลือดบวก จึงลงบันทึกประจำวันเอาไว้ และเตรียมผลักดันเรื่องนี้ไปให้ทนายฟ้องอีกครั้ง โดยบอกว่า กิ่ง-นริญญากำลังเข้าใจผิด เพราะคอร์สที่สอน จะคุยเรื่องทฤษฎี ไม่ได้ชวนคนมาสวิงกิ้ง หรือไม่ได้ชวนให้คนมีเซ็กส์แบบไม่ใช้ถุงยาง แต่จะเป็นการคุยกันเรื่องเกี่ยวกับการป้องกันตัวเองจาก HIV

“ผมเคยใช้ยาเสพติดมาก่อน เคยมั่วเซ็กส์มาก่อน เรามีประสบการณ์ตรงนั้น เราจะสอนวิธีการใช้ชีวิต เราคือคนที่อยู่ในความเสี่ยง เราก็จะรู้ว่าแบบไหนต้องซิกแซกอย่างไร”

23) ขณะที่กิ่ง-นริญญา โพสต์ล่าสุดของเธอ คือตามรอยซีรีส์เกาหลีเรื่อง Crash landing on you ไม่ได้มีทีท่าถึงความเดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่นิดเดียว

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า