ตอนนี้ทั่วโลกต่างมุ่งความสนใจไปที่รถยนต์ไฟฟ้า ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย จากสถิติของกรมการขนส่งทางบก ในปี 2564 ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวมกันถึง 218,381 คัน
รถยนต์ไฟฟ้าที่คนไทยน่าจะคุ้นเคยมากที่สุด คือรถยนต์ประเภทไฮบริด หรือ Hybrid Electric Vehicle (HEV) ที่ผสมผสานระบบการทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาป
รถยนต์ไฮบริด ยังสามารถกักเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ได้ ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนสูง ที่สำคัญประหยัดน้ำมันมากกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป
เทคโนโลยีรถยนต์ไฮบริด พัฒนาต่อเนื่องมานานหลายสิบปี บริษัทรถยนต์หลายค่าย ผลิตรถยนต์ไฮบริดออกมาจำหน่ายหลายรุ่น และได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ตั้งแต่รถ City Car ไปจนถึงรถ SUV รองรับผู้โดยสารได้หลายคน
สำหรับประเทศไทย พอถามถึงความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของคนไทย รถยนต์ไฮบริดน่าจะเป็นคำตอบอันดับต้นๆ โดยคนส่วนใหญ่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจมาอย่างยาวนาน
เนื่องจากรถยนต์ไฮบริด เป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นเคยและมั่นใจอยู่แล้ว ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เครื่องแรง ประหยัดเชื้อเพลิง ลดการปล่อยมลพิษได้เช่นกัน และยังเหมาะกับสภาพโครงสร้างพื้นฐานบ้านเราอีกด้วย
ส่องเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน Full Hybrid ในรถยนต์ฮอนด้า
รถยนต์ไฮบริดที่จำหน่ายในประเทศไทยมีให้เลือกหลายรุ่น จากหลายแบรนด์ ยกตัวอย่างเมื่อไม่นานมานี้ แบรนด์ดังเจ้าตลาดจากญี่ปุ่น ‘ฮอนด้า’ ได้พัฒนารถยนต์รุ่นยอดนิยม อย่าง Honda City e:HEV (ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี) เปิดตัวเป็นครั้งแรกช่วงปลายปี 2563
ที่น่าสนใจคือ ฮอนด้านำเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน Full Hybrid มาใช้เป็นครั้งแรกในรถตระกูล City ทำให้ในรถยนต์รุ่น Honda City e:HEV โดดเด่นเรื่องสมรรถนะการขับขี่ เดินทางได้อย่างคล่องตัว เครื่องแรง โดยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 253 นิวตัน-เมตร และประหยัดน้ำมันมากถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร เลยทีเดียว
มาทำความรู้จักเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน Full Hybrid ของฮอนด้ารุ่นนี้กันสักนิด ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ผสานกับพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว พร้อมเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันแบบต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ Lithium-ion ที่มีประสิทธิภาพสูง ให้การขับขี่ที่ทรงพลังและอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม
มอเตอร์ตัวหนึ่งจะทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Generator Motor) ส่วนอีกตัวจะทำหน้าที่ขับเคลื่อน (Drive Motor) สลับทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ โดยระบบจะเลือกโหมดให้อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นช่วงของการเร่งเครื่องออกตัว การขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ การขับขี่ด้วยความเร็วสูงและการลดความเร็ว
ซึ่งในแต่ละช่วง รถยนต์จะเลือกโหมดให้อัตโนมัติ โดยเลือกให้เหมาะสมกับสภาวะของการขับขี่ มีทั้งโหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode)
นอกจากนี้ รถยนต์ e:HEV ของฮอนด้า ยังมีแบตเตอรี่ Lithium-ion กักเก็บประจุไฟฟ้าได้ยาวนาน น้ำหนักเบา พร้อมชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพทนทานสูง ขับขี่ไม่สะดุด ซึ่งทางฮอนด้ารับประกันแบตเตอรี่ให้นานถึง 10 ปี นับว่าอีกหนึ่งความคุ้มค่าของรถยนต์รุ่นนี้

รับประกัน 5 ปีแรกทั้งระบบแบบไม่จำกัดระยะทาง ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ควบคุม แบตเตอรี่ไฮบริดและระบบสายไฟไฮบริด พร้อมดูแลด้วยช่างผู้ชำนาญงานและเครื่องมือพิเศษ โดยบริษัทฯ พิจารณาขยายระยะเวลารับประกันเฉพาะแบตเตอรี่ไฮบริดเพิ่มอีก 5 ปี (ตั้งแต่ปีที่ 6-10) ทั้งนี้ เงื่อนไขการขยายเวลารับประกันดังกล่าวเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดศึกษาสมุดรับประกัน

ไม่ใช่แค่เรื่องสมรรถนะการขับขี่ และประสิทธิภาพของแบตเตอรี่เท่านั้น แต่ Honda City e:HEV ยังตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ (Honda SENSING) อีกทั้งฮอนด้ายังมีบริการหลังการขายที่ครอบคลุมอีกด้วย
บริการหลังการขาย หัวใจสำคัญของฮอนด้า
ปัจจัยในการเลือกซื้อรถยนต์สักคันหนึ่ง นอกจากผู้ซื้อจะพิจารณาฟังก์ชันการใช้งาน การออกแบบที่สวยงาม ความปลอดภัย และความคุ้มค่าของราคาแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ ‘บริการหลังการขาย’
เนื่องจากผู้ขับขี่ต้องใช้งานรถยนต์คันเดิมไปอีกหลายปี อย่างกรณีครบระยะเวลาตรวจเช็กสภาพรถ หรือในเวลาที่รถยนต์เกิดปัญหา ผู้ขับขี่ต้องการความช่วยเหลือด้านต่างๆ
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญ คอยอำนวยความสะดวก พร้อมให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ ทุกเวลา สร้างความรู้สึกอบอุ่นใจให้แก่ลูกค้าในระยะยาว
เช่นเดียวกับบริการหลังการขาย นี่คือสิ่งที่ฮอนด้าให้ความสำคัญมาโดยตลอด จะเห็นได้ว่ามีศูนย์บริการของฮอนด้าครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค ทั่วประเทศไทย พร้อมพนักงานดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นบริการตรวจเช็กสภาพรถ และซ่อมแซมแก้ไขปัญหารถยนต์ โดยช่างผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ รู้ลึก รู้จริง โดยทีมงานทุกคนได้รับการอบรมตามมาตรฐานของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ
ตัวอย่างบริการหลังการขาย จากฮอนด้า เช่น
– Honda Quick Service บริการเช็กระยะแบบเร่งด่วนตามระยะทาง ผู้ขับขี่สามารถนัดหมายล่วงหน้า เพื่อนำรถยนต์เข้าเช็กได้ ทุกๆ ระยะทาง 10,000 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาเวลาตรวจเช็กไม่นาน ใช้เวลาเพียง 60-120 นาที
– Honda Body&Paint บริการซ่อมตัวถังและสี โดยผู้เชี่ยวชาญซ่อมตัวถัง พร้อมนวัตกรรมซ่อมสีโดยเฉพาะ ทำให้รถยนต์สวยงามและคงทนทุกสภาพแวดล้อม
– บริการ Drop & Go ผู้ขับขี่นัดหมายศูนย์บริการ นำรถมาเช็กระยะโดยไม่ต้องเสียเวลารอคิวนาน ระหว่างนี้สามารถไปทำธุระส่วนตัวได้ เมื่อถึงเวลาก็มารับรถกลับได้เลย รวดเร็วและปลอดภัยจากโควิด-19 ด้วย
สำหรับบริการดังกล่าว ผู้ใช้บริการสามารถนัดหมายผ่านเว็บไซต์ของฮอนด้าได้ด้วยตัวเองที่ servicebooking.honda.co.th โดยสามารถเลือกศูนย์บริการ วันและเวลานัดหมาย พร้อมระบุรายละเอียดที่ต้องการรับบริการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว หรือจะโทรติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้าก็ได้ ที่หมายเลข 02-341-7777 ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ยังมีบริการ Honda Ultimate Care บริการรับประกันคุณภาพรถยนต์ ตามระยะเวลาหรือระยะทางที่กำหนด โดยสามารถต่อระยะเวลาเพิ่มได้ ในราคาสบายกระเป๋า
พร้อมทั้งบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งสิทธิประโยชน์นี้ฟรี สำหรับลูกค้ารถใหม่ภายในระยะเวลา 3 ปี เช่น ขับรถไปแล้วเกิดเหตุเร่งด่วน จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาด้านเทคนิค, บริการรถยกลากไปยังศูนย์ซ่อม, รับกุญแจสำรอง, เปิดประตูโดยช่างกุญแจ และเติมน้ำมันฉุกเฉิน เป็นต้น
ทั้งหมดนี้คือ ‘บริการหลังการขาย’ จากฮอนด้า เพราะรถยนต์เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมเดินทางคนสำคัญ ดังนั้นควรเลือกรถยนต์ที่มั่นใจได้
มั่นใจในที่นี้ ไม่ใช่แค่ฟังก์ชันการใช้งาน เทคโนโลยีที่ทันสมัยหรือดีไซน์สวยเท่านั้น แต่ต้องดูการบริการหลังการขาย ทีมงานที่มีความชำนาญ และความคุ้มค่าในทุกๆ ด้าน ตอบโจทย์การขับขี่ที่มีประสิทธิภาพ แรง ประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน
e:HEV จากฮอนด้าจึงเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ พร้อมออกเดินทางสู่อนาคตได้อย่างมั่นใจ